ผู้ส่งสาส์น - ผู้ส่งสาส์น นิยาย ผู้ส่งสาส์น : Dek-D.com - Writer

    ผู้ส่งสาส์น

    เรื่องแปล-สำหรับคนเป็นแฟนซีรีย์เรื่องบัฟฟี่ และแองเจิลคงพอจะรู้ว่าเขาเขียนเรื่องอะไร...งงม่ะ...อยากรู้ก็ลองอ่านดู

    ผู้เข้าชมรวม

    750

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    750

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ธ.ค. 47 / 08:31 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทนำ

      แองเจิล:
              เดิมชื่อ เลียม เกิดใน กอล์เวย์  ไอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ.1727 และในปี ค.ศ.1753 เขาได้กลายเป็นแวมไพร์โดย   ดาร์ล่าสาวที่เขาพบในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง  เลียมกลายเป็นปีศาจที่มีหน้าดุจเทวดานามว่า “แองเจลัส”  ทั้งคู่ออกล่าเหยื่อไปทั่วยุโรปจนแองเจลัสได้สมญานามว่า \'ผู้นำหายนะมาสู่ยุโรป\' ในปี ค.ศ.1860 ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เขาทำให้สาวบริสุทธิ์ ดรูซิลล่าเป็นแวมไพร์ และในปี ค.ศ.1880 วิลเลี่ยมหนุ่มโรแมนติคก็ต้องโชคร้ายเมื่อมาเจอ ดรูซิลล่าและเธอก็เปลี่ยนเขาให้กลายเป็น สไปค์ แวมไพร์จอมยโส  แล้วแวมไพร์ทั้ง 4 ออกล่าร่วมกันตั้งแต่นั้นมาตลอด  จนกระทั่งในปี ค.ศ.1898 ในโรมาเนีย  แองเจลัสไปฆ่าลูกสาวของเผ่ายิปซีทำให้พวกของเธอโกรธแค้นและสาปให้เขามีวิญญาณมนุษย์(เหมือนกับการเรียกวิญญาณเลียมกลับคืนมา)  ทำให้เขาเสียใจในสิ่งที่เขาทำลงไปตลอดเวลา 145 ปี ของการเป็นแองเจลัส  ในที่สุดเขาจึงเปลี่ยนมาเรียกตัวเองว่า แองเจิล  เขาย้ายมาอยู่ที่อเมริกาย้ายไปเรื่อยๆทั้ง มอนทาน่า เม็กซิโก เท็กซัส ลอสแองเจลิส และในที่สุดปี ค.ศ.1996 นิวยอร์ก  ที่นี่ทำให้เขาได้พบกับ วิทส์เลอย์ปีศาจส่งข่าว ที่พาเขาไปพบกับ บัฟฟี่ซึ่งตอนนั้นเพิ่งถูกเรียกตัวมาเป็นมือสังหารและยังอยู่ที่แอล.เอ.  เขาติดตามดูบัฟฟี่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนเธอย้ายมาอยู่ที่ ซันนี่เดล  แคลิฟอร์เนีย  ทั้งคู่พบกันในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง  แองเจิลมาเตือนบัฟฟี่ในสิ่งที่เธอต้องเผชิญและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งคู่ก็พัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรัก  ในช่วงแรกบัฟฟี่ไม่รู้ว่าแองเจิลเป็นแวมไพร์จนกระทั่งจูบแรกของพวกเขา  แต่ทำไงได้คนมันรักไปแล้วจะห้ามใจก็ไม่ทันแล้ว
      ในวันเกิดอายุ 17 ของบัฟฟี่ ดรูซิลล่าและสไปค์วางแผนจะปลุก \'เดอะ จัดด์\'ผู้ที่ทำลายแต่คนบริสุทธิ์ซึ่ง \'เดอะ จัดด์\'ถูกแยกชิ้นส่วนออกเป็นชิ้นๆเพื่อไม่ให้มารวมตัวได้  และวันนั้นทั้ง บัฟฟี่และแองเจิลก็เก็บชิ้นส่วนไว้ได้ส่วนหนึ่งทำให้แองเจิลคิดที่จะเอามันไปทิ้งให้ห่างจากอเมริกา  ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังไปที่เรือก็ถูกจู่โจมและเอาชิ้นส่วนนั้นไปได้ทั้ง 2 ตามไปที่โกดังหลบซ่อนของศัตรูและพบว่ามันคืนชีพแล้ว  ทั้ง 2 ต่อสู้กับมันและเกือบพลาดท่าเสียทีมันดีแต่ที่หนีกันออกมาได้  และในเหตุการณ์เองทำให้บัฟฟี่และแองเจิลมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเป็นความสุขที่แท้จริงทำให้แองเจิลสูญเสียวิญญาณกลายเป็น แองเจลัส อีกครั้ง และไปเข้าพวกกับสไปค์และเป้าหมายตอนนี้ของเขาคือ กำจัดบัฟฟี่และจุดจบของโลกโดยเขาพยายามเปิดประตูนรกสูบสิ่งมีชีวิตทั้งหมดให้ลงไปในนรก  และทางเดียวที่บัฟฟี่จะช่วยโลกเอาไว้ได้คือ ฆ่าแองเจิลและส่งเขาไปในนรก  ก่อนที่ประตูนรกจะเปิด วิลโลว์ได้ใช้คาถาเรียกวิญญาณแองเจิลกลับมาได้…ยิ่งทำให้บัฟฟี่เสียใจมากขึ้นไปอีกที่ต้องส่งคนรักลงนรกไป
              3 เดือนต่อมา แองเจิลกลับมาจากนรก  แต่จากการทรมานนานหลายร้อยปีในนรกทำให้เขาอ่อนแอมาก บัฟฟี่จึงช่วยดูแลเขาจนหาย  และยังมีเรื่องของนายกเทศมนตรีปีศาจกับมือสังหารทรยศมาเกี่ยวข้องด้วย  แต่แองเจิลได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องไปจากซันนี่เดลให้ห่างจากบัฟฟี่  เพื่อให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาไม่ใช่มารักกับปีศาจอย่างเขา  เขาจึงจากบัฟฟี่ไปแอล.เอหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเรื่องนายกเทศมนตรีและเฟธ
              ที่ แอล.เอ เขาได้พบ ดอยล์ ลูกครึ่งปีศาจที่มองเห็นนิมิตของคนกำลังเดือดร้อนและเจอคอร์ดีเลียเพื่อนของบัฟฟี่จากซันนี่เดลที่อยากจะเป็นดารา  ทั้ง 3 ช่วยกันเปิดสำนักงานนักสืบเอกชน แองเจิล ขึ้น แต่เมื่อ ดอยล์ ตายพลังอำนาจนั้นถูกส่งต่อมาให้คอร์ดีเลีย เพื่อให้แองเจิลมีสิ่งเชื่อมโยงกับอำนาจทางการ  หลังจากดอยล์ตายเขาได้พบกับเวสลีย์ผู้ดูแลไม่ได้เรื่องที่กลายมาเป็นผู้ช่วยเหลือและเพื่อนร่วมงานของเขา  งานของพวกเขาคือช่วยเหลือคนให้พ้นจากพวกปีศาจและแวมไพร์รวมถึงการได้รับสาสน์จากอำนาจทางการผ่านนิมิตที่คอร์ดีเลียได้รับ  และในช่วงปีแรกที่เขามาอยู่แอล.เอ.เขาได้พบคำพยากรณ์จากคัมภีร์โบราณที่เขาขโมยมาจากวูลฟ์แฟรม แอนด์ ฮาร์ทที่กล่าวถึงเขาว่า \'หลังจากวันสิ้นโลกและหายนะภัยต่างๆ หากแวมไพร์มีวิญญาณยังมีชีวิตอยู่เขาจะกลายเป็นมนุษย์\' แต่จะใช้เวลานานแค่ไหนไม่มีใครรู้ <และยิ่งสไปค์มาได้รับวิญญาณอีกตัวเลยไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จะได้รับรางวัลนี้…รายการคงอยู่ถึงวันนั้นหรอก  ฮาฮาฮา> และแผนร้ายต่อไปของวูลฟ์แฟรม แอนด์ ฮาร์ท  คือพวกเขาได้ปลุกดาร์ล่าขึ้นมาจากนรกแต่เธอกลายมาเป็นมนุษย์แทนที่จะเป็นแวมไพร์เหมือนเดิม…ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาคือต้องการให้แองเจิลกลายเป็นแองเจลัสอีกครั้ง



          บัฟฟี่ แอน ซัมเมอร์:
              เด็กสาวที่ถูกเลือกให้ทำหน้าที่มือสังหาร  ซึ่งจะมีเพียงหนึ่งคนในทุกๆสมัยเมื่อคนหนึ่งตายอีกคนจะถูกเรียกมาแทนที่ทันที  บัฟฟี่ถูกเรียกให้มาทำหน้าที่มือสังหารตั้งแต่อายุ 15 ขณะที่เธอยังอยู่ แอล.เอ. ต่อมาบัฟฟี่ย้ายมาอยู่ซันนี่เดลและได้เพื่อนดีๆอย่างวิลโลว์ และแซนเดอร์ ทั้ง 2 ได้เข้ามาช่วยเธอปราบเหล่าร้ายและยังมีชายหนุ่มลึกลับที่โผล่มาเตือนเรื่องร้ายๆให้เธอได้ระวังตัว  เธอสะดุดใจกับชายหนุ่มลึกลับหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นมาก  จนวันหนึ่งเธอค้นพบความจริงว่าเขาเป็นแวมไพร์มีวิญญาณ  และเขาได้ฆ่าดาร์ล่าแวมไพร์ที่ดูดเลือดเขาและทำให้เขากลายเป็นแวมไพร์เพื่อช่วยชีวิตเธอกับแม่  ทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆจนกลายเป็นความรัก
              บัฟฟี่เกือบตายมาครั้งหนึ่งแต่ก็ตายนานพอที่จะทำให้เกิดมือสังหารคนใหม่คือ เคนดร้า  ซึ่งสุดท้ายก็โดนดรูซิลล่าฆ่าตายตอนที่เธอมาช่วยบัฟฟี่ปราบแองเจลัส  เมื่อเคนดร้าตายมือสังหารอีกคนก็ถูกเรียกเธอคือ เฟธ ที่ภายหลังกลับทรยศไปเข้าพวกกับนายกเทศมนตรีและยังพยายามแย่งแองเจิลไปจากบัฟฟี่โดยการเรียกแองเจลัสกลับมาแต่ไม่ได้ผล  นอกจากนี้เฟธยังมีแผนฆ่าแองเจิลโดยใช้ยาพิษที่ใช้ฆ่าแวมไพร์โดยเฉพาะซึ่งวิธีเดียวที่ถอนพิษนี้คือให้แวมไพร์ดูดเลือดมือสังหาร ตอนแรกบัฟฟี่พยายามไปเอาตัวเฟธมาเพื่อให้แองเจิลดูดเลือดแต่การต่อสู้ของพวกเธอเกินเลยไปทำให้เฟธที่โดนเสียบตกลงมาบนรถบรรทุกที่วิ่งผ่านมาพอดีทำให้บัฟฟี่ไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยแองเจิลได้นอกจากเธอจะต้องสละเลือดของตัวเองแต่แองเจิลไม่ยอมดูดเลือดเธอบัฟฟี่จึงใช้กำลังบังคับให้เขาดูดเลือด  แองเจิลเมื่อดูดเลือดบัฟฟี่เขาก็หายดีทันทีแต่บัฟฟี่ที่เสียเลือดไปมากจนเกือบตายแองเจิลจึงต้องรีบพามาที่โรงพยาบาลและที่นี่เองที่ได้พบร่างของเฟธที่นอนโควม่าอยู่  และเมื่อบัฟฟี่หายดีการต่อสู้กับนายกเทศมนตรีก็เริ่มขึ้นและเมื่อปราบปีศาจสำเร็จแองเจิลก็จากไป…
              เธอเริ่มต้นชีวิตมหาวิทยาลัยโดยการมองหาชายหนุ่มที่จะมาแทนที่แองเจิล แล้วเธอก็ได้พบกับ ไรลีย์ ฟินน์ ที่กลางวันเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา  กลางคืนกลายเป็นทหารในปฏิบัติการลับของรัฐบาล  ซึ่งเป็นการทดลองลับในการศึกษาเหล่าปีศาจและในการทดลองหนูทดลองตัวแรกคือ สไปค์เขาได้รับการฝังชิปในสมองจนไม่สามารถทำร้ายคนได้คือเมื่อเขาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำร้ายคนชิปนี้จะกระตุ้นบีบสมองก่อให้เกิดการเจ็บปวดอย่างรุนแรง  สไปค์จึงกลายมาเป็นพวกบัฟฟี่ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นด้วยสักเท่าไร  บัฟฟี่และไรลีย์คบกันมาได้ปีกว่าจนในที่สุดทั้ง 2 ก็เลิกกันโดยที่ไรลีย์มีเหตุผลว่าบัฟฟี่ไม่เคยเปิดใจให้เขา..และเขาก็จากซันนี่เดลไปปฏิบัติภารกิจของรัฐบาลต่อ  สไปค์นั้นก็ตกหลุมรักบัฟฟี่จึงคอยอยู่ช่วยบัฟฟี่ตลอดแต่บัฟฟี่ไม่สนใจเขาเลย  และในปีเดียวกันแม่ของเธอก็ตายจากไปจากผลของการผ่าตัดสมองและในงานศพเธอก็ได้พบแองเจิลอีกครั้ง  เขามาปลอบใจเธอและจากไปก่อนพระอาทิตย์ขึ้น  สุดท้ายก็เกิดสงครามการแย่งชิงกุญแจระหว่างเทพและมนุษย์เมื่อกุญแจมิติเป็นน้องของบัฟฟี่เธอจึงต้องสู้สุดตัวเพื่อปกป้องชีวิตน้องสาว  การเปิดประตูมิติเกิดขึ้นโดยใช้หยดเลือดของดอว์นถ้าเลือดไม่หยุดไหลประตูมิติจะเปิดต่อไปเรื่อยๆจนโลกมนุษย์จะเต็มไปด้วยปีศาจ ความจริงจะสูญสลายเมื่อมิติทุกมิติหลอมหลวมกันเป็นหนึ่งเดียว  ดังนั้นสิ่งที่บัฟฟี่คิดได้ในตอนนั้นคือในเมื่อเลือดเธอสร้างดอว์นเพราะฉะนั้นเลือดของเธอก็สามารถหยุดการเปิดของประตูมิติได้..และนั้นทำให้เธอตัดสินใจกระโดดเข้าหาประตูมิติและจากไปในที่สุด แต่เธอก็ช่วยโลกเอาไว้ได้อีกครั้ง--เธอคือวีรสตรีผู้ช่วยโลก  พี่สาวที่รักและเพื่อนผู้เสียสละ -- บัฟฟี่ แอน ซัมเมอร์(1981-2001)

      <เรื่องที่แปลนี้ผู้เขียนเริ่มเขียนเรื่องราวต่อจากช่วงนี้ทำให้ไม่สามารถเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคต่อมาของ\'บัฟฟี่ เดอะ แวมไพร์ สเลเยอร์\' และ \'แองเจิล\' ได้ -ผู้แปล->
          
      ********************
      ผู้ส่งสาส์น                                                 แปลโดย  kmin
      จากเรื่อง “The Messenger”   ของ  Baby Blues


          ในคืนหนึ่งเธอมาปรากฏกายต่อหน้าผมด้วยแสงที่โอบล้อมรอบกายเธอเหมือนเกราะกำบังปกป้องเธอให้พ้นภัย ความสดใสของเธอทำให้ผมสงสัยว่าเพราะเหตุอันใดเธอจึง \'เสียชีวิต\'  โดยเฉพาะเมื่อแววตาของเธอยังคงสดใส  ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มอันผุดผ่อง  พวงแก้มชมพูมีเลือดฝาด  และผิวเนื้อสีน้ำตาลทองของเธอยังไม่ซีดเซียว
          “เธอคือ โคล  เซียร์ใช่ไหม“ เธอมองมาทางผมอย่างต้องการคำยืนยัน  เสียงของเธอนุ่มละมุนดุจสัมผัสของใยไหมและกำมะหยี่  ท่วงทำนองการพูดหรือท่วงท่าการเดินของเธอไม่ทำให้ผมประหลาดใจหรือตกใจกลัวแต่อย่างใด  เธอเคลื่อนไหวด้วยความนิ่มนวล  สง่างาม  แข็งแรงและมีพลัง
          “ใช่” ผมตอบและเพ่งพินิจเธออย่างสนใจ
          เธอหัวเราะเล็กน้อยก่อนส่งยิ้มให้อย่างเศร้าๆ “ฉันหลงทาง  ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน  พวกเขาบอกให้ฉันมาหาเธอ  ฉันตามหาเธอมานานหลายปีแล้ว” เธอบอกขณะนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ละสายตาไปจากผม “ฉันคาดว่าจะได้มาพบกับเด็กผู้ชายนะ”
          ผมหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนหันไปคว้าแว่นตาจากโต๊ะข้างเตียงมาใส่ “ที่จริง  ผมมี 5 ปีที่น่าจดจำกับธุรกิจนี้” ผมบอกเธอและจ้องเธออีกเมื่อผมมองเห็นเธอได้ชัดเจนขึ้น  เธอเป็นคนสวย  ผมสีทองส่องประกายลาดลงมาปะบ่าอย่างนิ่มนวล  แก้มของเธอยังมีสีชมพู  ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปและเชื้อเชิญ  เธอไม่เหมือน \'ผี\' บางทีน่าจะเป็นนางฟ้า..แต่ไม่ใช่ผีเป็นแน่
          เธอพยักหน้า “อายุ 17 เหรอ”
          ผมพยักหน้ายอมรับ
          “ฮึๆ ใช่จะอายุเท่าไรได้อีกล่ะ” เธอหัวเราะ
          ผมยิ้ม “โอ้! ใช่สิ” ผมประชดและขยับแว่นให้เข้าที่  ผมเคยพบวิญญาณเพียงไม่กี่ตัวในชีวิตที่เมื่อได้คุยแล้วสบายใจ และผ่อนคลายเมื่อเขาปรากฏตัว และห่วงใยผมอย่างแท้จริง  คนแรกเลยคือ ดร.มัลคอล์ม  โครว์  นักจิตวิทยาเด็กผู้ที่ช่วยผมผ่านประสบการณ์เหนือธรรมชาติ…สัมผัสที่ 6 พรสวรรค์ของผม…ที่เป็นเหมือนคำสาปที่ผมต้องเผชิญ   ผู้ชายที่ทำให้ผมตระหนักว่าผมต้องช่วยพวกเขา…เขาเป็นคนดีถ้าผมได้พบเขาจริงๆคงจะดี
          “โคล  เซียร์  ชีวิตของเธอเพิ่งเริ่มต้น” เธอถอนหายใจเมื่อมองไปยังรูปภาพของผมกับแม่บนโต๊ะหนังสือ  เธอมองและแตะต้องสิ่งของเหมือนกับว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ยังคงมีลมหายใจ …จิตใจของเธอยังคงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ “มันเพิ่งเริ่มต้นยังมีอะไรตามมาอีกมาก ยังคงมีอุปสรรคที่ต้องเผชิญและเรื่องราวที่เราต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้”
          นิ้วของเธอเฉียดกรอบรูปไม้ไปอย่างรวดเร็ว..ผมยิ้มแล้วพูดว่า “ดีนิ…แต่อย่าเพิ่งไปสนใจมันเพราะกะอีแค่วิชาพละผมยังเอาตัวไม่รอดเลย”
          เธอหัวเราะอีก…เสียงหัวเราะของเธอทำให้ผมรู้สึกรื่นเริงไปด้วย  ผมเคยได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้จากคนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น  แต่ตอนนี้เมื่อผมได้ยินเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอทำให้ผมคิดว่าเสียงหัวเราะของเธอช่างมีชีวิตชีวามากกว่าที่ผมเคยได้ยินมาและด้วยประสบการณ์เรื่องผีๆของผม ผมไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะจากพวกเขาเลยจนกระทั่งวันนี้
          เสียงเคาะประตูห้องของผมทำให้เธอหายตัวไป “อย่าเพิ่งไป…ได้โปรดอยู่ก่อน” ผมบอกเธอแล้วเธอปรากฏตัวกลับมาที่เก้าอี้อีกครั้ง…เธอกัดริมฝีปากล่างด้วยความไม่แน่ใจ
          ผมยิ้มให้เธอเป็นการรับประกันแล้วเดินไปเปิดประตู
          แม่ของผมเดินเข้ามาในห้องเธออยู่ในชุดนอนที่สวยงามหากแต่ถ้ามันไม่ยุ่งเหยิงจากการนอนของเธอ  แม่ใส่เสื้อคลุมกำมะหยี่สีแดงกับรองเท้าผ้ามีปุยขนสีชมพูที่ผมเพิ่งมอบให้เธอเมื่อวันคริสมาสต์  เธอยังคงงัวเงีย  ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่
          “มีลูกค้าเหรอ” เธอถามไปหาวไปขณะที่ยืนพิงประตูเอามือกอดอก
          ผมยิ้ม…มันยากที่เธอจะยอมรับความจริงว่าผมแตกต่าง…แตกต่างมากๆจากเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน  เธอยังคงไม่สะดวกใจในงานนอกเวลาของผมแต่เหนือสิ่งอื่นใดเธอสนับสนุนในสิ่งที่ผมทำ…ในสิ่งที่ผมเป็น
          “ใช่ครับ” ผมตอบ “อีกไม่นานหรอกครับ ผมแค่ต้องจดอะไรอีกนิดหน่อยแล้วผมจะทำมันให้เสร็จในตอนเช้า” ผมให้สัญญากับเธอ
          เธอพยักหน้า “ก็ได้  แต่อย่านานนักล่ะ” เธอพูดและมองไปรอบๆห้อง “ราตรีสวัสดิ์”
          “ราตรีสวัสดิ์ครับแม่” ผมบอกเธอ  เธอส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเดินออกไปและปิดประตูอย่างแผ่วเบา
          ผมหันกลับมาที่แขกของผมที่ยังคงนั่งที่เดิมด้วยความกระสับกระส่ายและเริ่มเม้มปากด้วยความกังวล “แล้ว” ผมพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปหยิบปากกาและกระดาษ “ผมสามารถทำอะไรเพื่อคุณได้บ้าง”
          เธอยืนขึ้นและเดินตรงมาทางผมแล้วนั่งลงบนเตียง  ท่าทางของเธอเปลี่ยนไปดูเคร่งเครียดจนผมรู้สึกกังวลไปด้วย
          “มันไม่ใช่เพื่อฉันเพียงคนเดียว” เธอบอกเมื่อเริ่มมีอาการกระวนกระวายอีก  เธอก้มหน้ามองพื้นอย่างอายๆ
          “งั้นก็เพื่อน” ผมถาม “หรือว่า..คนในครอบครัว”
          “สำหรับเพื่อน”
          ผมมองเธอและสังเกตเห็นท่าทางที่แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาที่ส่องประกายมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง  และรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นทันที..ผมรับรู้ได้ว่านั้นไม่ใช่เพียงแค่เพื่อน  ณ.เวลานั้นผมสรุปได้ทันทีว่ามันมีมากกว่าความเป็นเพื่อนแต่เป็นคนรัก…คนรักที่เธอเคยมีก่อนเธอจะจากมา…คนรักที่เธอไม่สามารถลืมเลือนและไม่สามารถก้าวต่อไปหากปราศจากเขา
      ********************
          ผมเปิดประตูสีดำที่ตั้งตระหง่านของ \'โรงแรม ไฮพีเรียน\' ผมก้าวย่างอย่างระมัดระวังและรอบคอบมุ่งตรงไปสู่ประตูทางเข้าตึกขนาดใหญ่
          ผมสวมเสื้อไหมพรมสีน้ำเงินครามและยีนส์สีเดียวกัน  มันเป็นวันที่มีอากาศร้อนในแอล.เอ.แต่การที่อาศัยอยู่ในแมสซาชูเซสคุณได้เรียนรู้กฎว่าต้องทำเสื้อผ้าให้อุ่นทุกวันและผมก็ปฏิบัติตามนั้นด้วย
          เธอเดินเข้ามาพร้อมกับผมเธอได้แต่จ้องมองความมหึมาของตึกที่ทำด้วยหินอย่างอัศจรรย์ใจ  ผมยิ้มในท่าทีของเธอเหมือนกับว่าผมกำลังมองเด็กหญิงที่เพิ่งเคยมาดิสนีย์แลนด์เป็นครั้งแรกมากกว่าหญิงสาวที่เคยเห็นอะไรมามาก..บางทีไม่ทั้งหมดแต่…ผมกำลังจะเคาะประตูขณะเดียวกับที่เธอห้ามผม “ไม่  แค่เดินเข้าไปก็พอ” เธอบอกกับผมและผมก็พยักหน้ายอมทำตามโดยไม่ถามเหตุผลใดๆ
          ผมเปิดประตูและสังเกตภายในโรงแรมอย่างช้าๆเท่าที่เห็นดูเหมือนว่าโรงแรมได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นสำนักงาน…ห้องโถงว่างเปล่าเว้นแต่มีโซฟาทรงกลมอยู่ตรงกลางห้องทางขวามือ  ต้นไม้อีก 2-3 ต้นกระจายอยู่ทั่วห้องเพิ่มความสดใสให้กับห้องสีทึมๆ  ทางด้านซ้ายมีเคาน์เตอร์ด้านหลังมีคอมพิวเตอร์วางอยู่บนโต๊ะรอให้ใครบ้างคนมาใช้งานมัน…
          “มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ” เสียงนั้นถามผมแล้วผมก็หันไปเห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาล รูปร่างสูงท่าทางน่ารักยืนส่งยิ้มให้ผมอยู่
          อีกครั้งที่ผมมองหาสาวผมทองแต่เธอหายไปอีกแล้ว…มันเกิดขึ้นบ่อยๆไม่ใช่เพราะพวกเขาอยากจะไปเองแต่หากเกิดจากพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า
          “แค่มาดูๆ” ผมบอกกับเธอ
          “ตามสบายยย” เธอพูดแบบยานคาง
          และแล้วผมก็เห็นวิญญาณตนหนึ่งเดินออกมาจากซากของลิฟต์พังๆ  เธอเป็นหญิงชราหน้าตาเหี่ยวย่นและดวงตาสีน้ำตาลของเธอดูร่วงโรยไม่สดใส  เธอหยุดและหันมาส่งยิ้มให้ผม…ผมยิ้มกลับให้เธอก่อนที่เธอจะหายไปและไปปรากฏตัวอีกครั้งบนบันไดชั้นบนสุด…เธอโบกมือให้ผมและหายวับไปทันที
          ผมถอนหายใจ…วิญญาณหลงทางไม่มีอะไรทำมากไปกว่าเดินเตร่อยู่ในโรงแรมที่กลายมาเป็น \'สำนักงานนักสืบแองเจิล\' สำนักงานเล็กๆในแอล.เอที่ช่วยเหลือประชาชนในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีเงินหรือไม่มีก็ตาม
          และขณะนั้นเองชาย 2 คนที่กำลังสนทนากันอย่างเผ็ดร้อน พวกเขาเดินเข้ามาข้างในอย่างเร่งรีบ  คนหนึ่งกับสำเนียงอังกฤษซึ่งหอบหนังสือโบราณๆเข้ามา  อีกคนรูปร่างสูงผิวดำและกำดาบเอาไว้ในมือ
          “พวกเรา”หญิงสาวที่ทักผมก่อนหน้านี้ทักชายทั้ง2 ที่ตอนนี้หยุดการโต้แย้งและหันมาสนใจเธอ “เรามีแขก” เธอบอก สีหน้าของเธอแทบไม่ซ่อนความสับสนขณะที่เธอแนะนำผมให้กับชายทั้ง 2
          “โอ้! สวัสดีครับ” ชายสำเนียงอังกฤษกล่าว “มีอะไรให้พวกเราช่วยรึเปล่าพ่อหนุ่ม” เขาถามขณะวางหนังสือที่ถือมาไว้ด้านหลังเคาน์เตอร์
          “คุณทำไม่ได้หรอก” ผมบอกเขา “มันถึงเวลาที่ผมจะช่วยคุณ..เออ..หนึ่งในพวกคุณ”
          “แองเจิลน้อย” ชายผิวดำพึมพำก่อนกระโดดขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์โดยยังคงถือดาบอยู่ในมือ “กำลังต้องการอยู่พอดี”
          “แล้วเธอจะเข้ามามั้ย” ชายชาวอังกฤษถามเมื่อเห็นว่าจริงๆแล้วผมยังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า
          ผมสั่นศีรษะแล้วยิ้ม “ไม่เป็นไร..มันใช้เวลาไม่นาน  ผมเพียงอยากจะถามคำถามไม่กี่คำถามแล้วผมจะกลับมาใหม่พรุ่งนี้”
          ทั้ง 3 คนมองหน้ากันอย่างงงๆแต่แล้วก็มีเสียงเหมือนอะไรแตกดังมาจากทางด้านหลังพร้อมๆกับเสียงผู้หญิงหวีดร้องตามมา  ทั้ง 3 ถอนใจ “กันน์..ไปดูสิว่าเฟรดทำอะไรแตกอีกคราวนี้” สาวผมน้ำตาลสั่งชายผิวดำ  เขาพยักหน้าแล้วเดินออกไปด้านหลัง
          “อืม..คำถามงั้นเหรอ” ชายอังกฤษถามด้วยความสับสน
          ผมพยักหน้า “คุณหรือผู้ชายคนเมื่อกี้เคยเสียคนรักไปรึเปล่า”
          เขาตกใจ “ว่าไงนะ”
          ผมเคยถามหญิงสาวคนนั้นว่าเธอชื่ออะไร  แต่เธอกลับตอบว่าเธอชื่อ \'ความตาย\' ผมไม่สามารถบอกได้ว่าคนรักที่ผมพูดถึงชื่อ \'ความตาย\' เพราะผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่  มันเป็นสิ่งประหลาดที่ผมได้รับจากวิญญาณตนนี้  ชื่อของเธอเป็นสิ่งเดียวที่เธอเก็บงำไว้อย่างลึกลับ
          “คนรัก” ผมย้ำอีกครั้ง
          “คนรักเหรอ” เขาถามอีก
          “ใช่ครับ..ผมสีทอง” ผมหยุดนึกภาพหญิงสาวไว้ในหัวของผม “ร่างเล็กมีดวงตาสีเขียวอ่อนที่อาจมองผิดเป็นสีเทาได้ในบางครั้ง…สวย” ผมเพิ่มรายละเอียด
          “บัฟฟี่” ทั้งคู่อุทานออกมาพร้อมๆกัน
          “นั้นคือชื่อของเธอเหรอ” ผมถาม
          “เฮ้!นี่มันเรื่องตลกบ้าบออะไรของเธอย่ะ” สาวผมสีน้ำตาลถามเธอพยายามระงับความโกรธอย่างที่สุด “มันไม่สนุกเลยนะ”
          หญิงแก่ที่ผมเห็นเมื่อกี้ปรากฏกายอีกครั้งตรงหน้าผม “เดอะ แองเจิล จะขมขื่นมากเมื่อเขามาพบเธอ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวบาดหู “การตายของหล่อนมันบาดลึกเข้าไปในจิตใจและจิตวิญญาณของเขา” เธอเตือนก่อนจะหายวับไปอีกครั้ง
          “ไม่” ผมบอกสาวผมน้ำตาล “นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” ผมรับรองกับเธอ “ผมชื่อ โคล  เซียร์ บอก \'เทวดา\' ของเธอว่าผมจะกลับมาในวันพรุ่งนี้”
      ********************
          “คุณชื่อ บัฟฟี่” นั้นคือสิ่งแรกที่ผมบอกเธอเมื่อผมเข้ามาในห้องและเห็นเธอนั่งอยู่บนที่นอนของผม  ก้มหน้ามองพื้นที่ปูด้วยพรมสีเทาไม่วางตายังกับได้เห็นใบหน้าคนรักปรากฏอยู่บนพรมอย่างงั้นแหละ  \'เธอคงปลดปล่อยความยุ่งเหยิงต่างๆไปกับจินตนาการของเธอ\' ผมคิด
          
      -ในความคิดของบัฟฟี่  (สำหรับคนที่ไม่เคยดูบัฟฟี่ภาค 1-3 และไม่รู้จักความรักระหว่างบัฟฟี่กับแองเจิล-<ผู้แปลเขียนเอง>)
      // “ในตอนที่ผมต้องหลบซ่อนแบบนี้สิ่งที่ผมคิดกลับเป็นว่า \'ผมอยากจูบคุณ\'“ เขาพูดอย่างรวดเร็วแต่ฉันสามารถจับคำพูดสุดท้ายได้
      “จูบฉันเหรอ” ฉันมองหน้าเขา…ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
      “ผมแก่กว่าคุณ  นี่ไม่สามารถเป็น..เอ่อ..ผมไปดีกว่า” เขาพูดว่าจะไปแต่กลับยืนจ้องหน้าฉันนิ่ง
      “แก่กว่าเท่าไรค่ะ” ฉันไม่ตั้งใจจะถามแต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี..ฉันค่อยๆขยับไปหาเขาเช่นเดียวกับที่เขาก้าวมาหาฉัน
      “ผมควรจะ…” เขาเข้ามาใกล้ฉันเหลือเกิน…และตอนนี้ฉันก็หลงไปในแววตาของเขา
      “ไป..คุณบอก” ฉันกล่าวก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงมาอย่างช้าๆจนกระทั่งริมฝีปากของเราสัมผัสกัน  มันทั้งนุ่มนวลและดูดดื่มในเวลาเดียวกันและนั้นคือจูบแรกระหว่างฉันกับเขา //


      // “วันนี้คุณเกือบจะตายแล้ว” ฉันพูดขณะที่ค่อยๆเอนตัวไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา  ฉันได้ยินเสียงเขาตอบกลับมาเบาว่า “เราทั้งคู่ต่างหาก”
      “แองเจิล…ฉันรู้สึกเหมือนฉันเสียคุณไป…คุณพูดถูกเราไม่สามารถมั่นใจเรื่องใดๆได้” ฉันเริ่มสะอื้น..ฉันกลัวว่าฉันจะเสียเขาไป
      “ชู้วส์…ผม” เขาเงียบไปทำให้ฉันต้องถามในสิ่งที่เขาจะพูด “คุณทำไมเหรอ” ฉันผละออกมามองหน้าเขา
      “ผมรักคุณ..ผมพยายามบังคับไม่ให้มันเกิดขึ้น..แต่ผมหยุดรักคุณไม่ได้” ฉันดีใจที่เขาบอกรักฉันและฉันก็บอกความรู้ฉันเช่นกัน “ฉันก็..ฉันก็หยุดรักคุณไม่ได้ค่ะ” เรามองตากันก่อนที่ฉันจะจูบเขาอย่างแผ่วเบาแต่เขากลับผละออก “บัฟฟี่..บางทีเราไม่ควรจะ…”
      ฉันไม่ต้องการให้เขาหยุดจูบฉันไม่อยากให้วินาทีที่เราเปิดใจแก่กันต้องหยุดลง “ไม่..แค่จูบฉัน” เขาทำตามนั้นและแล้วทั้งฉันและเขาก็เสียการควบคุมตัวเอง…มันเป็นคืนวันเกิดอายุครบ 17 ปีของฉัน…และนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว //

      // “ฉันเข้าใจค่ะ…แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้” ฉันถามเขาเริ่มไม่สบายใจเมื่อเขาเล่าเรื่องราวที่เขาไปพูดกับเทพยากรณ์มา
      “เทพยากรณ์จะย้อนเวลากลับไป…กลับไปก่อนที่เลือดของปีศาจโมห์ราจะรวมกับเลือดของผมและทำให้ผมกลายเป็นมนุษย์” เขาอธิบายด้วยเสียงสั่นเครือ
      “เมื่อไรค่ะ” ฉันถามเขาถึงแม้จะไม่อยากรู้คำตอบเท่าไร
      “อีกไม่กี่นาที” เขามองนาฬิกาก่อนจะตอบฉัน…ฉันไม่อยากเชื่อว่าในอีกไม่กี่นาทีสิ่งที่เราเคยฝันและได้กลายเป็นจริงจะเหลือเพียงความทรงจำ..1 วันที่ฉันได้อยู่กับเขาในฐานะคู่รักธรรมดาทั้งหมดจะพังทลายลงในไม่ช้า..
      “นาที..ไม่นะ…ไม่ เวลาน้อยเกินไป” น้ำตาที่เอ่ออยู่เมื่อครู่เริ่มไหลอาบแก้มฉันโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด…ฉันไม่อยากจากเขาไปอีก
      “เราไม่มีทางเลือก” เขาบอกและพยายามลูบหลังปลอบประโลมฉันตลอดเวลา
      “แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปในเมื่อฉันรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น…รู้ว่าเรามีโอกาสจะได้อยู่ด้วยกัน” ฉันถาม
      “ไม่…ไม่มีใครจำวันนี้ได้นอกจากผม” เขาตอบพยายามกล้ำกลืนเก็บอารมณ์
      “ทุกอย่างที่เราทำ..” ฉันไม่อยากเชื่อเลย
      “มันไม่เคยเกิดขึ้น” เขาขัดจังหวะฉันและฉันเห็นหยดน้ำตาไหลออกมาจากตาสีน้ำตาลเข้มของเขา
      “ฉันรู้…ฉันรู้..ฉันรู้ว่ามันเกิด” ฉันค่อยๆเอามือไล้ไปตามอกของเขาก่อนจะหยุดตรงบริเวณหัวใจของเขา “ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจคุณเต้น”
      “บัฟฟี่” เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับฉันอีก เราทั้งคู่มองตากันก่อนที่จะบรรจงจูบกันอย่างดูดดื่มเป็นครั้งสุดท้าย
      “ไม่…โอ้!พระเจ้า..เวลาไม่พอแล้ว” ฉันพูดหลังจากหันไปดูนาฬิกา
      “ชู้วส์….ได้โปรด” เขาพยายามปลอบฉัน  เราทั้งคู่กอดกันอย่างแนบแน่น…ฉันได้แต่เพียงพึมพำเบาๆข้างหูเขา “ฉันจะไม่ลืม…ไม่ลืม..ไม่ลืมเด็ดขาด” ฉันพูดเพียงแค่นั้นแล้วเวลาก็ย้อนกลับมาตอนที่พวกเราคุยกันในห้องทำงานของเขาก่อนที่โมห์ราจะปรากฏขึ้น…ใช่แล้วฉันไม่เคยลืมแต่ฉันกลับบอกเขาว่า \'ฉันลืม…พยายามลืมเขา\' แต่ฉันไม่เคยลืม..ไม่เคยลืมทุกวินาทีที่อยู่กับเขา…จูบแรกของเรา..คืนแรกของเรา..ฉันไม่เคยลืม //

          เธอไม่พูดอะไรจนกระทั่งความเศร้าในแววตาของเธอจางหายไป “ชื่อฉันคือความตาย…ฉันทิ้งชื่อนั้นตั้งแต่ฉันอายุ 15”
          ผมนั่งลงบนเตียงข้างๆเธอและหันไปมองหน้าเธอ “ความตายไม่ใช่ชื่อเสียงเรียงนามของใคร”
          “เธอไม่เข้าใจหรอก” เธอถอนใจและยืนขึ้น “มันนำมาซึ่งเรื่องราวทั้งหมด…มันคือสิ่งที่ฉันเป็น”
          ผมถอนใจบ้างและก้มมองพื้นซึ่งก่อนหน้านี้เธอเคยเพ่งมองในขณะที่ตอนนี้เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง…มองแสงจากรถที่วิ่งขวักไขว่ไปมาบนถนนเบื้องล่าง
          เธอเคยเล่าวิถีชีวิตมือสังหารของเธอ  เธอคือผู้ถูกเลือก  เด็กสาวเพียงคนเดียวที่จะช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากเงื้อมมือแวมไพร์และปีศาจอันชั่วร้าย  หญิงเพียงคนเดียวที่มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับความตาย ผู้ที่ไม่ได้รับอะไรนอกจากความระทมทุกข์ หรือแม้แต่ความตายของเธอ
          “ความตายอยู่รอบกายคุณแต่ไม่ใช่คุณ” ผมบอกเธอ
          เธอยิ้ม “ฉันขอโทษ”
          ผมยิ้มกว้างอย่างไม่ใส่ใจ..ผมรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร “พวกเขาแค่สับสน..ผมก็ด้วย…พวกผู้ชายที่ผมเจอไม่ใช่คนรักของคุณ”
          “เขาไม่อยู่ที่นั่นเหรอ”
          “วิญญาณแถวนั้นบอกว่า เขาเป็นเทวดา” ผมบอกเธอเมื่อจำคำของหญิงแก่ที่เจอได้
          “นั่นคือชื่อของเขา” เธอบอกและสีหน้าบ่งบอกความเพ้อฝันบนใบหน้าอันงดงามของเธอยังคงไม่ละจากภาพนอกหน้าต่าง
          “แองเจิล“
          เธอพยักหน้า “เขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมมาก” เธอกล่าว “แองเจิลของฉัน” เธอกระซิบจนผมแทบไม่ได้ยินแต่ผมสามารถได้ยินผ่านห้องที่เงียบสงัดนี้ได้
          “คุณไม่บอกว่าผมควรบอกอะไรเขา” ผมพูด
          “ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน” เธอตอบอย่างแผ่วเบา
          ผมพยักหน้าเข้าใจเธอ…มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง…วิญญาณมีภารกิจแต่บางตนไม่รู้ว่าภารกิจนั้นคืออะไร…อย่างบัฟฟี่แต่เธอจะรู้และเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องทำมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไป…ผมได้แต่หวังว่ามันจะเกิดขึ้นโดยเร็วเพราะผมเหลือเวลาแค่วันเสาร์และอาทิตย์นี้เท่านั้นก่อนที่ผมจะต้องกลับบ้านไปเรียนหนังสือ
      ********************
          ทุกคนในสำนักงานนักสืบแองเจิลนั่งรอผมอยู่ในห้องโถง…ดูก็รู้ว่าพวกเขารอผมอยู่  ผมมองไปที่บัฟฟี่ซึ่งตอนนี้ยืนจ้องชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกับตาสีน้ำตาลน่าหลงใหลที่ยืนอยู่กลางห้อง  แววตาของเธอที่มองเขามันบ่งบอกถึงความรัก ความเคารพ และชีวิตของเธอเลยทีเดียว
          “โคล เซียร์” เขาเริ่มพูด “อายุ 17 ปี จาก เซเล็ม แมสซาชูแซส อาศัยอยู่กับมารดา มีคำร่ำลือว่าสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้”
          ผมยิ้ม “หาข้อมูลได้ละเอียดมาก” ผมพูด
          “เธอติดต่อกับใครอยู่ฮ่ะ,โคล” เขามือกอดอกและมองมาที่ผมด้วยสายตาที่แข็งกร้าว
          “ณ.เวลานี้, คุณ” ผมตอบแบบลองเชิง
          “เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” เขาเปล่งเสียงดังอย่างโมโห ทำให้ผมต้องหันไปมองบัฟฟี่ที่ยืนอยู่แถวกระถางต้นไม้
          “สำหรับคุณ…เธอคือบัฟฟี่” ผมตอบอย่างจริงใจ “สำหรับผม..เธอบอกว่าชื่อ \'ความตาย\'“
          “ฉันไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้..ฉันต้องการรู้ว่าเธอมาที่นี่ทำไม” เขาพูดขณะที่ดวงตาเขามีน้ำตาเอ่อ
          “เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมมาที่นี่” ผมอธิบาย “ผมเป็นผู้ส่งสาสน์  ผมมาที่นี่เพื่อนำข้อความมาให้คุณ”
          “เธออยู่ที่ไหน” เขาถามเปลี่ยนเรื่อง
          ผมมองหาบัฟฟี่พบว่าเธอมายืนอยู่ใกล้ๆเขา  เขาคงไม่รู้ถึงการปรากฏตัวของเธอ…แต่ผมรู้บางทีเขาอาจรู้สึก
          “บอกเขาว่าฉันรักเขา” เธอกระซิบริมฝีปากอยู่ไม่ไกลจากเขา
          “เธอบอกว่าเธอรักคุณ” ผมบอกเขา
          เขาโมโหและเดินย่างสามขุมเข้าหาผม “ฉันไม่อยากเล่นเกมนี้ ไอ้หนู! ฉันต้องการคำตอบ…เธออยู่ไหน!” เขาตะโกน
          ผมชี้ไปยังที่ที่เธอยืนอยู่..เธอดูเศร้าสูญเสียและใจสลาย
          เขาเมินหน้าหนีและผมเห็นหญิงชราคนเดิมที่เจอเมื่อวานเดินลงมาจากชั้นบนตรงมาหาผม “ เดอะ แองเจิล จะขมขื่นมากเมื่อเขาพบเธอ  การตายของหล่อนบาดลึกลงไปในจิตใจและจิตวิญญาณของเขา…จำเอาไว้ล่ะ” เธอพูดเหมือนที่เธอบอกผมเมื่อวาน
          ผมพยักหน้าขอบคุณเธออย่างเงียบๆแล้วเธอก็หายตัวไปอีกครั้ง
          “เป็นเธอจริงๆเหรอ” เขาถามและมองมาทางผม “ใช่เธอจริงๆนะ”
          “ใช่เธอ…หากด้วยร่างกาย..เธอไม่…แต่จิตวิญญาณ…นั้นคือเธอ” ผมบอก
          “ผมไม่เชื่อ” เขาขบกรามแน่น
          “นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมถูกสั่งมา  ผมไม่ได้มาเพื่อทำให้คุณเชื่อผม..ผมมาเพื่อช่วย…เพื่อให้คุณได้รับสิ่งที่คุณควรรู้ผ่านทางจิตวิญญาณของเธอ” ผมบอก
          “งั้นเธอพูดอะไร”
          “ฉันจำได้” ผมหันไปมองบัฟฟี่เมื่อเธอพูดขึ้น  เธอยังคงดูเลือนลอยและสูญเสีย “วันที่ถูกลืมเลือน”
          “วันที่ถูกลืม” ผมกระซิบกับเธอ ณ.เวลานั้นเองที่ทั้งโรงแรมเริ่มสั่นสะเทือน  รูปภาพที่แขวนตามผนังหล่นลงมากับพื้น  ปูนบนเพดานกะเทาะร่วงลงมาเหมือนผงแป้งลงมารอบๆตัวพวกเรา
          เธอแข็งแกร่ง…แข็งแรงกว่าที่ผมคิดเอาไว้…บางครั้งวิญญาณมีพลังในการครอบงำจิตใจคน…พลังในการเคลื่อนย้ายสิ่งของตามอารมณ์ของพวกเขา พวกเขามีพลังพอทีจะทำร้ายร่างกายคน..สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดกับผมในช่วงแรกๆ…จนกระทั่งผมเริ่มช่วยพวกเขาแทนที่จะมัวกลัวหรือวิ่งหนีพวกเขา  
          ผมมองหาเธอและสังเกตว่าเธอล้มลงไปนอนกองกับพื้นซะแล้ว…ร่างกายของเธอสั่นระริกจากแรงสะอื้น  และทันใดนั้นเองผมตระหนักว่าผมยังคงไม่เข้าใจเธอ
          “บอกเขาว่าฉันไม่เคยลืม” เธอพูดซ้ำย้ำแล้วย้ำอีก
          การสั่นสะเทือนเริ่มสงบลงผมมองบัฟฟี่อีกครั้ง..ผมสัมผัสได้ว่ามวลของจิตวิญญาณเธอค่อยๆจางลง
          “อย่าหนีสิบัฟฟี่” ผมบอกเธอ “คุณมาที่นี่เพื่ออะไร..มันถึงเวลาที่คุณต้องเผชิญหน้ากับมัน”
          เธอมองหน้าผมสีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดความเศร้าเสียใจ…ผมสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าแสดงความเจ็บปวดของเธอมันเหมือนดั่งรอยมลทินแปดเปื้อนไม่น่าดู…และนั้นทำให้ผมลืมสีหน้าเปี่ยมสุขมีชีวิตชีวาของเธอไปชั่วขณะ
          “บอกเขาให้ลืม” เธอก้มหน้ามองมือทั้ง 2 ข้างของเธอก่อนที่เธอจะกระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เขาไม่สมควรได้รับมัน” เธอส่ายศีรษะ “ฉันไม่คู่ควรกับเขา…ไม่เคยเลย” เธอร้องไห้และหันไปมองแองเจิลที่ยังงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “บอกเขาให้ลืม” เธอกระซิบอีก “บอกเขาให้ลืมฉันซะ” เธอพูดแค่นั้นแล้วหายตัวไป
          ผมหันกลับมามองกลุ่มคนที่อยู่ในความตกตะลึง สายตาของผมหยุดอยู่ที่แองเจิลซึ่งมองผมด้วยความงวยงง  มันแสดงออกมาบนใบหน้าเขาอย่างชัดเจน
          “เธอพูดอะไร” เขาถาม
          ผมส่ายหน้า “ใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตอนนี้”
          “แล้วไง…เราคอย…โปรดทิ้งข้อความไว้หลังเสียงสัญญาณ…อย่างงั้นใช่ไหม?” สาวผมน้ำตาลพูดเสียดสี  สายตาของเธอแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจ “เสียใจแต่ไม่ล่ะ…เราต้องการคำตอบและต้องการเดี๋ยวนี้…3 ปีแล้วที่บัฟฟี่ ซัมเมอร์ ตาย แล้วทำไมถึงเพิ่งจะมาเอาตอนนี้”
          “เธอหลงทาง” ผมบอกเธอและทุกๆคน “เธอมาหาผมเพื่อช่วยเธอหาวิถีทางสู่ภารกิจของเธอ  และสำหรับคำตอบ..ผมเกรงว่าจะมีเพียงเธอเท่านั้นที่ให้คำตอบได้…ผมเป็นเพียงผู้ส่งสาสน์เท่านั้น”
          “ภารกิจ” ชายชาวอังกฤษถามขึ้น
          “วิญญาณหลงทางทุกตนที่เตร็ดเตร่บนโลกนี้ล้วนมีภารกิจ..บางคนรู้ว่าต้องทำอะไรเพียงรอให้ถึงเวลาปฏิบัติภารกิจนั้น…บางคนอย่างบัฟฟี่พวกเขาไม่รู้…พวกเขารู้แค่ว่ามีสิ่งที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จก่อนที่พวกเขาจะจากไปสู่ทางสงบของเขา” ผมตอบ
          “งั้น..เธอก็ได้คุยกับหล่อนจริงๆ” หนุ่มผิวดำกล่าวอย่างระวัง
          ผมพยักหน้า “มันเป็นสัมผัสที่ 6”
          “ฉันยังไม่เชื่ออยู่ดี..ฉันจะรู้ได้งั้ยว่าเธอไม่ได้ทำงานให้กับ \'วูลฟ์แฟรม แอนด์ ฮาร์ท\' พยายามทำร้ายจิตใจฉัน..ด้วยการตายของบัฟฟี่” ในที่สุดแองเจิลก็ถามขึ้น
          “ไม่เคยได้ยินมาก่อน…มันเป็นร้านกาแฟรึไง” ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
          ผมเมินหน้าหนีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะก๊ากจากสาวผมสีน้ำตาลและชายผิวดำ  ผมอายจนแก้มแดงเป็นลูกตำลึง  ไม่ว่า
      วูลฟ์แฟรม แอนด์ ฮาร์ท จะเป็นอะไรแต่คงห่างไกลจากการเป็นร้านกาแฟที่พวกเขาไปซื้อโดนัททุกบ่ายวันศุกร์แน่ๆ
          “ถ้า วูลฟ์แฟรม แอนด์ ฮาร์ท เป็นร้านกาแฟพวกเราคงไม่มีงานทำ” ชายผิวดำบอกอย่างขำๆ “เราคงทำงานที่นั้นแทน”
          พวกนั้นเป็นศัตรูของพวกเขา  ผมสรุปเงียบๆในใจ
          “แล้วกลอรี่ ทำงานให้พวกนั้นด้วยงั้นเหรอ” ผมถาม  พวกเขาตกอยู่ในความเงียบ
          “ไม่” แองเจิลถาม “เธอพูดอะไรบ้าง”
          ผมเอามือล้วงกระเป๋า “วันที่ถูกลืม” ผมเริ่มและสังเกตใบหน้าของแองเจิลปรากฏร่องรอยความเสียใจ “เธอบอกว่าเธอลืม..” ผมเห็นแองเจิลพยักหน้ายอมรับ “เธอบอกให้ลืมเธอซะ” ผมพูดก่อนจะหันหลังเดินออกนอกห้องไป
          “ทำไมเธอพูดอย่างนั้น” เขาตะโกนถามตามหลังมา
          ผมหันกลับไปหาเขาและยักไหล่ให้เพราะไม่รู้เหมือนกัน “ผมเป็นแค่คนส่งข่าว”
          “งั้นช่วยบอกเธอด้วย” แองเจิลว่าต่อ “แม้กระทั่งความตายก็ไม่ทำให้ผมลืม..นี่” เขาพูดขณะยกกำปั้นขึ้นทุบหน้าอกบริเวณหัวใจของเขาพอดี “เธออยู่ที่นี่…ถึงแม้มันจะไม่เต้น..แต่เธอทำให้มันมีชีวิต..เธอทำให้ผมยังคงก้าวต่อไป”
          ผมรับรู้ได้ถึงความจริงใจจากคำพูดของเขา จากสีหน้าที่จริงจัง จากความจริงใจที่ปะปนออกมาจากน้ำเสียงอันสั่นเครือ  ความรักความห่วงหาและความเร่าร้อนมันยังคงอยู่ในนั้น…อารมณ์เหล่านั้นยังคงรุนแรงเหมือนดั่งวิญญาณของบัฟฟี่
          คำพูดเหล่านั้นเหมือนกระตุ้นให้บัฟฟี่ปรากฏตัวคราวนี้เธอยืนเคียงข้างเขา เธอยืนยิ้มให้แองเจิล กุมมือข้างที่อยู่บนหน้าอกของเขาอย่างอ่อนโยน
          “คุณไม่ต้องให้ผมบอกเธอหรอก” ผมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นบัฟฟี่ค่อยๆลากนิ้วไล้ไปตามใบหน้าของแองเจิลอย่างทะนุถนอม “เธอเพิ่งได้ยินคุณ”
      ********************
          ผมทำหลายสิ่งหลายอย่างในการช่วยเหลือภูตผีวิญญาณ  ผมมาไกลถึงแอล.เอ.เพื่อช่วยบัฟฟี่ แต่ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า \'คาริตาสซ์ \' ไม่เคยเลยในชีวิตที่จะเห็นตัวเองมานั่งในบาร์คาราโอเกะที่เต็มไปด้วยปีศาจและกำลังจะร้องเพลง
          “สบายดีรึเปล่า” คอร์ดีเลียสาวผมสีน้ำตาลถามผม
          ผมพยักหน้า “ผมไม่ค่อยได้ร้องเพลงเท่าไร…” ผมบอกความจริงเธอ
          เธอพยักหน้าเข้าใจ “นึกภาพพวกเขาเปลือยเอาไว้” เธอพูดตบบ่าผมเบาๆก่อนจะหันไปคุยกับเวสลีย์ชายสำเนียงอังกฤษ
          แล้วก็ถึงเวลาเมื่อปีศาจตัวเขียว(หรือตัวอะไรก็ตาม)เรียกผมขึ้นไปบนเวที  ขาผมสั่นไปหมดขณะเดินไปที่เวที  แสงไฟส่องมาทางผม ผมยืนรอให้เพลงเริ่มต้น  และผมจะร้องเพลง \'มาย เกิร์ล\'(แฟนผม) มันไม่ใช่เพลงจริงจังหรือลึกซึ้งมากนักเมื่อเทียบกับสถานการณ์ของบัฟฟี่และแองเจิล  แต่ผมต้องทำ..การที่คุณอยู่กับแม่ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ \'เดอะ เทมเทชั่น \' ทำให้คุณทำอะไรได้ทุกอย่าง และเพราะแม่จึงทำให้ผมเลือกเพลงนี้
          บัฟฟี่เข้าสิงร่างของผม  ปล่อยให้วิญญาณผมได้พักเมื่อเธอเข้าควบคุม  ผมเคยทำแบบนี้เพียง 2 ครั้ง  มันขึ้นอยู่กับความสามารถของวิญญาณดวงนั้นๆ…และบัฟฟี่เธอมีพลังมากจริงๆ  ดังนั้นเธอสามารถทำมันได้อย่างไม่ลำบาก
          มันคือเสียงห่วยๆของผมที่ล่องลอยในอากาศแต่วิญญาณของเธอเป็นผู้ร้อง
          เสียงเพลงค่อยๆเบาลงและหยุดลง…ในที่สุดเธอออกจากร่างผมให้ผมควบคุมร่างอีกครั้ง…ผมสั่นศีรษะพยายามขับไล่อาการมึนงงให้จางหายไป  การถูกสิงร่างแบบนั้นมันเหมือนยาเสพติด…เมายาอย่างไม่เป็นธรรมชาติแต่ก็ทำให้ผมติดมันได้อย่างไม่มีปัญหา
          “คุณเห็นอะไร” แองเจิลถามปีศาจตัวเขียวด้วยความคาดหวัง
          “แองเจิล, ผู้แสนดี” เขายิ้ม “เหมือนว่าคุณต้องกลับไปที่ที่ทำการไปรษณีย์อีกครั้ง”
          “ไปรษณีย์งั้นเหรอ” กันน์หนุ่มผิวดำสงสัย
          “เทพยากรณ์..พวกเขาตายแล้ว” แองเจิลบอก
          “โอ้! ใครกันบอกว่าคุณจะไปพบพวกเขา” เขาบอกก่อนจะทิ้งพวกเราและหันไปสนใจลูกค้าคนอื่น
          “เรื่องลึกลับพวกนี้ทำให้ฉันปวดหัว…นี่ขนาดฉันยังไม่ได้เห็นนิมิตสั่นประสาท ระเบิดสมองพวกนั้นนะ” คอร์ดีเลียบ่น
          “แล้วจะทำยังไงต่อ” เวสลีย์ถาม
          “ก็ทำอย่างที่พ่อตัวเขียวบอกนั้นแหล่ะ” แองเจิลตอบ
      ********************
          คอร์ดีเลีย, เวสลีย์ และกันน์ กลับไปรอที่โรงแรมไฮพีเรียนเพื่อดูว่าเฟรดทำอะไรแตกอีกหรือไม่ตอนพวกเขาไม่อยู่  แองเจิลและผมขึ้นนั่งรถยนต์เปิดประทุนสีดำมุ่งหน้าไปยังที่ทำการไปรษณีย์  โดยมีบัฟฟี่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยอาการสงบและเงียบเชียบ
          นี่เป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่เจอครั้งแรก  แววตาของเธอกลับมาสดใสมีชีวิตชีวาอีกครั้ง  และไม่ต้องให้คนฉลาดมาบอกผมก็เดาได้ว่ามันเป็นเพราะแองเจิล
          “เขาเป็นทุกอย่างของฉัน” เธอบอกยังกับอ่านใจผมออก
          “ผมก็ว่าอย่างนั้น” ผมบอกเธอพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย
          “อะไรเหรอ” แองเจิลถามมองผมด้วยความสงสัย
          “บัฟฟี่” ผมชี้ไปที่เบาะหลัง
          แองเจิลกลืนน้ำลายอย่างลำบากก่อนมองที่กระจกมองหลังด้วยสายตาที่มีความหวังและแววทุกข์ปะปนกัน…แต่แล้วความผิดหวังก็เข้ามาแทนที่เมื่อเขาไม่สามารถมองเห็นเธอ
          ผมเห็นบัฟฟี่ค่อยๆขยับตัวเข้ามาใกล้จนคางเธอเกยอยู่บนไหล่ของแองเจิล  และนั้นเองที่ผมสังเกตว่าแองเจิลตัวสั่น  บัฟฟี่ค่อยๆลากนิ้วขึ้นมาบนหน้าอกของเขา…ทำให้เขาผ่อนลมหายใจออกอย่างสั่นไหว(แม้เขาจะไม่จำเป็นต้องใช้อากาศก็ตาม)
          “คุณรู้สึกถึงเธอ” ผมพูดด้วยความประหลาดใจ
          “ผมไม่เคยรู้สึกเธอมาก่อน..ผมฝันเห็นเธอบ่อยๆและสงสัยว่าวิญญาณเธออยู่ไหน..แต่ไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน” เขาตอบจริงใจ
          ผมพยักหน้า “เธอหลงทาง”
          “พวกเขาหลงกันบ่อยไหม” เขาถาม
          ผมพยักหน้าอีกครั้ง “บางครั้ง..พวกเขาเพียงไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ไหนก่อนดี” พวกเรายังคงมุ่งหน้าไปที่ทำการไปรษณีย์
          “ผมเข้าใจความรู้สึกนั้น” เขาบอก
          “ฉันรู้ว่าคุณเข้าใจ” บัฟฟี่กระซิบก่อนจะเอนตัวมาหอมแก้มเขา
          “เมื่อพวกเขาบรรลุภารกิจ…พวกเขาจะอยู่ต่อไหม” แองเจิลถามและจากน้ำเสียงนั้นบอกได้เลยว่าเขาไม่อยากรู้คำตอบสักเท่าไร
          ผมสั่นหน้าด้วยความเสียใจ “ไม่..พวกเขาแค่..หายตัวไป  มันจะมีแสงสว่างส่องลงมารับพวกเขาและพวกเขาจะค่อยๆจางหายไปสู่…สวรรค์..ผมว่านะ” ผมบอกเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
          เขาหลับตาลงเพียงครู่เดียวและยิ้มอย่างขมขื่น “งั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมต้องการให้เธอเสร็จสิ้นภารกิจนี้รึเปล่า” เขาพูดด้วยความสัตย์จริง  ผมจ้องหน้าเขาอยากให้เขาอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ต้องการช่วยให้คนรักของเขาทำสิ่งนี้ให้ลุล่วงไป “เมื่อผมรู้ว่าเธอตาย..ผมไม่สมบูรณ์อีกเลย  ผมรู้ว่าเธอยังอยู่ในหัวใจ..ในจิตใจของผมเสมอ  แต่วิญญาณของผม..วิญญาณผม..มันร่ำร้องเรียกหาแต่เธอ”
          เขายึดกำพวงมาลัยแน่นเข้าไปอีก  บัฟฟี่ค่อยๆเอามือลูบเขา  แองเจิลค่อยๆสงบลงและคลายพวงมาลัยที่เมื่อกี้กำเสียแน่น
          “ขณะนี้ที่วิญญาณของเธออยู่ที่นี่…ผมรู้สึกสมบูรณ์อีกครั้ง…แม้ไม่เห็นเธออย่างน้อยผมรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้  อย่างน้อยผมรู้สึกว่าเธออยู่ข้างๆผม”
          “ฉันอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา” เธอกระซิบขณะที่แววตาอันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าของเธอน้ำตาเริ่มเอ่อล้นไหล่อาบแก้มของเธอ
      “บอกเขาว่าฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”
          “เธอจะอยู่ที่นี่ตลอดไป” ผมบอก
          เขาส่ายศีรษะอย่างรุนแรง “ความทรงจำ” เขาพูดตรงไปตรงมา “นั้นจะเป็นแค่ความทรงจำ”
          บัฟฟี่นิ่งเงียบเธอผละออกจากเขาและหายตัวไปในทันที
          “เธอไปไหนแล้ว” แองเจิลถามบ้าพอจะหันมามองผมแต่กระนั้นก็ยังคงรักษาการควบคุมให้รถยังอยู่บนถนนได้
          ผมยักไหล่ “ผมไม่แน่ใจ” ผมประหลาดใจที่เขารู้สึกได้ว่าเธอหายไป
          เขาหันกลับไปสนใจถนนต่อ “ผมทำให้เธอเจ็บ” เขาบอกเงียบๆก่อนจะปล่อยหัวเราะอย่างเจ็บปวด “ผมทำอย่างนี้ตลอด..กระทั่งเธอตายไปแล้ว  ผมก็ยังทำให้เธอเจ็บอีก”
          “คุณโทษตัวเองมากไปรึเปล่า” ผมบอกเขา “มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
          เขาไม่สนใจ “มันไม่สำคัญ…ยังไงผมก็ตายแล้ว”
          “แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่รู้สึก..ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่เจ็บ คุณมีชีวิตถึงแม้จะไม่ใช่แบบเดียวกับผมและบัฟฟี่” ผมบอก
          “บัฟฟี่ตาย” เขาเตือนผม
          “แต่เธอยังคงอยู่..ในคุณ..ในผม..ในทุกคนที่เธอเคยสัมผัสทั้งชีวิตและจิตใจ” ผมบอกต่อ “ถ้าเธอตายจากไปแล้วจริงๆ..เธอคงไม่นำผมมาที่นี่”  ความเงียบรายล้อมอีกครั้ง
          “นายเป็นเด็กฉลาดนะ” เขาออกความเห็น
          ผมยิ้ม “มันเป็นอย่างที่เขาว่ากัน”
          “เรื่องอะไร”
          “ว่าคุณเรียนรู้อะไรมากมายจากความตาย” ผมตอบ
          “บัฟฟี่เคยเล่าเรื่องราวของตัวเธอให้ฟังหรือเปล่า” เขาถาม
          ผมพยักหน้า “ตลอดทางที่มาจากเซเล็ม” ผมบอก
          “งั้นเธอก็รู้เรื่องเกี่ยวกับมือสังหาร”
          “โดยเฉพาะเรื่องราวความรักข้ามเผ่าพันธุ์” ผมบอก
          เขาได้แต่เพียงพยักหน้ารับ
          “คุณทั้ง 2 รักกันมาก” ผมยอมรับมากกว่าตั้งคำถาม
          เขาส่ายศีรษะ “มันไม่ใช่แค่ความรัก  มันมากกว่านั้น” เขาเริ่มพูด “เมื่อผมมองเธอ..ผมเห็นแสงอาทิตย์  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอมันช่างสดใส..จากเส้นผมของเธอสู่ผิวเนื้อและแววตาที่ส่องประกายของเธอ  เมื่อผมสัมผัสเธอ  ผมรู้สึกถึงไออุ่นแผ่ออกมา  ไม่ใช่เพราะเธอมีชีวิต  แต่เพราะความมีชีวิตชีวามันล้อมรอบกายเธอทุกวี่วัน” เขาเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน “และเมื่อผมจูบเธอ..ผมลิ้มรสแสงสว่างที่เธอสร้างมา”
          เขาส่ายศีรษะอีกครั้ง “ไม่..ไม่ใช่แค่ความรัก  มันคือทุกอย่าง  เธอยอมรับผมในขณะที่ผมยังยอมรับตัวเองไม่ได้…เธอยกโทษให้ผมทั้งที่ผมไม่สมควรได้รับ..และเธอรักผม..ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครรักผมมาก่อน…”
          ในชั่วขณะนั้นเองที่บัฟฟี่ปรากฏกายอีกครั้ง น้ำตาแห่งความสุขส่องแสงแวววับในดวงตาของเธอ  ผมได้ยินแองเจิลสูดลมหายใจเข้า(ถึงแม้เขาจะไม่ต้องการอากาศก็ตาม) เมื่อเขารับรู้ว่าเธอกลับมาแล้ว  เขานิ่งไปผมรู้ว่าเขาเพียงดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ว่าคนรักของเขาช่างอยู่ใกล้เขาเหลือเกิน..สุขใจในรสสัมผัสที่ได้รับ
          “ผมรักคุณ, บัฟฟี่” เขากระซิบผ่านสายลม
          ผมยิ้มให้เธอและเธอก็ส่งยิ้มกลับมา “เขาพูดถูก” เธอพูด “มันไม่ใช่เพียงแค่ความรัก..” เธอเอามือไล้ผมของเขาไปมา “เมื่อไรก็ตามที่ฉันอยู่ลำพังกับเขา  ฉันเป็นเพียงแค่หญิงสาวในห้วงแห่งความรัก…ในอ้อมแขนของเขาฉันรู้สึกปลอดภัย  ในโลกส่วนตัวของเรา ฉันอุ่นใจเพียงแค่ใกล้เขา..เขาเหมือนที่หลบภัยของฉัน” เธอพยักหน้า “ใช่มันมีทั้งความเจ็บปวด…ความรู้สึกผิด..มีการโกหก..และโมโห  แต่ในท้ายที่สุดมันก็คือความรัก” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “และท้ายที่สุดฉันจะหันมาหาเขา…เขาพร้อมที่จะต่อสู้…พร้อมที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อฉันตลอดมา”
          เธอยิ้มอีกครั้ง “เขาเป็นพลังของฉัน..เป็นเครื่องคุ้มภัย..และเพื่อนของฉัน” ความเพ้อฝันเข้าครอบงำเธอ “เป็นความหลงใหลพอๆกับ..คนรักของฉัน”
          “เธอเติมเต็มผม” , “เขาเติมเต็มฉัน” ทั้งคู่พูดออกมาพร้อมๆกัน และนั้นทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง
          ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยที่จะเห็นคู่ที่เกิดมาเพื่อกันและกันมีความผูกพันเชื่อมกันอย่างแข็งแรงแบบนี้  คนหนึ่งรักษาวิญญาณไว้ในร่างที่ตายมากว่า 250 ปี ส่วนอีกคนไม่มีร่างกายแต่จิตวิญญาณยังคงอยู่  ผมยอมรับนับถือความรักการเอาใจใส่ที่ทั้ง 2 มีร่วมกัน..แม้ว่าคนหนึ่งจะจากไป  พวกเขายังคงจะรักกันต่อไป  เวลาและความตายไม่ได้ทำลายความผูกพันของพวกเขา  และผมบอกได้เลยว่ามันยิ่งเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้กับความรักของพวกเขามากขึ้นไปอีก
      ********************
          พวกเราเข้ามาในห้องขนาดมหึมามีเสาหินขนาดใหญ่หลายต้นทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความมืดและความว่างเปล่า…ไม่มีสิ่งใดอยู่ภายในมีเพียงห้องที่ว่างเปล่า  ยกเว้นร่างลึกลับที่แพร่กระจายแสงเรืองรองอยู่กลางห้อง  ซึ่งสะกดให้แองเจิลและผมตกอยู่ในภวังค์ได้
          “นั้นใครนะ” ผมถามอย่างเบาๆแต่เกรงว่าจะดังไปรบกวนการนอนหลับอย่างสงบของร่างนั้นและอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
          “ผม-ผมไม่รู้” แองเจิลตอบเบาพอๆกับเสียงที่ผมพูด
          “นักรบและผู้นำสาสน์” กำแพงสะท้อนเสียงอันห่างไกลออกมา
          เราทั้ง 2 มองไปรอบๆอย่างแปลกใจ  มองหาร่างหรือหน้าของเจ้าของเสียงนั้น แต่เราไม่พบใครในห้องสลัวๆเสียวสันหลังนี้
          “ทำไมคุณถึงนำเรามาที่นี่” แองเจิลถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ  เราไม่รู้อะไรนอกจากความเชื่อที่ว่าเราต้องมาที่นี่  เหมือนกับเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยว่าในห้องนี้มีพลังเหนือธรรมชาติครอบคลุมอยู่
          “มือสังหารตาย..และการตายของเธอเป็นเคราะห์กรรมของโลก” อำนาจเสียงตอบกลับมา
          แองเจิลโกรธ..เขาพยายามข่มอารมณ์แต่รัศมีของความโกรธรุนแรงจนผมรู้สึกได้ “แล้วท่านต้องการอะไรกันแน่” เขาถาม..เออ..ตะคอกเสียมากกว่า..แต่กระนั้นคือเขาถาม
          “นั่นไงร่างเธอ” อำนาจเสียงบอกเกือบขบขัน  และผมบอกได้จากอาการกำและคลายหมัดของแองเจิลว่าเขาคงอยากจะบีบคอเจ้าของเสียงนั้นด้วยพลังและความโกรธทั้งหมดของเขา “3 ปีมาแล้วที่ร่างเธอรอคอยอยู่ที่นี่”
          “อะไรนะ”
          และในตอนนั้นแสงสว่างที่โอบล้อมร่างบริเวณกลางห้องเริ่มกระเพื่อมสั่น  แสงเริ่มเต้นเดี๋ยวจ้าเดี๋ยวมัวอยู่อย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
          “บัฟฟี่” ผมได้ยินแองเจิลกระซิบก่อนที่ผีดูดเลือดจะถลันเข้าหาร่างไร้วิญญาณของเธอ  แต่เข้าวิ่งเข้าชนสิ่งที่มองไม่เห็นเข้าอย่างจัง  เขาค่อยๆเอามือไล้ไปตามม่านพลังที่มองไม่เห็นซึ่งคั่นกลางระหว่างเขากับร่างคนรักที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหินอ่อน  เขาพยายามชกมันเพื่อเข้าไปหาเธอ  เขากัดฟันแน่นและคำรามผ่านลำคอออกมาด้วยความโกรธ
          “ร่างกายยังคงเติบโต..หัวใจเธอยังคงเต้น…และเธอยังมีลมหายใจ” อำนาจเสียงบอก
          “ทำไมถึงเป็นตอนนี้” แองเจิลตะโกนด้วยความโมโห “หลังจาก 3 ปี..3ปีแห่งความสูญเสียที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมาน  ในที่สุดคุณก็นำผมมาหาเธอ…ทำไมกัน”
          “เพราะบทเรียนที่เจ้าไม่เคยเรียนรู้นะสิ, นักรบ” อำนาจเสียงตะโกนกับมาด้วยความโกรธ
          “บทเรียน” เขาหัวเราะให้กับตัวเองมองไปรอบห้องก่อนปล่อยหัวเราะออกมาเมื่อเห็นผม “เธอได้ยินรึเปล่า” เขายิ้มอย่างเย็นชา  “มันคือบทเรียน” หน้าของเขาปรากฏอาการโกรธเกี้ยวอีกครั้ง “คุณนำความรักไปจากชีวิตผม…สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดของผม…นั้นเป็นบทเรียน…และคุณฆ่าเธอเพราะบทเรียน” เขาตะโกนทิ้งหมัดไปในอากาศและเปล่งเสียงคำรามแห่งความผิดหวังออกมา
          ผมถอยห่างออกมา…ผมกลัวว่าเขาจะเอาความโกรธมาระบายที่ผม  ผมอายุเพียง 17 เท่านั้นผมรู้การทารุณกรรมเป็นอย่างไรแต่ผมคิดไม่ออกว่าผีดูดเลือดสามารถทำอะไรผมได้บ้าง  และผมไม่อยากจะรู้ด้วย ผมมีทฤษฎีว่าเขาจะทำอะไรกับผมแต่ผมชอบให้อวัยวะของผมอยู่ที่ที่มันเคยอยู่มากกว่า
          “มันไม่ใช่บทเรียน” แองเจิลพูดอย่างบันดาลโทสะ “นี่เป็นการลงโทษต่างหาก”
          ความเงียบสงัดแผ่ไปทั่วห้องจนผมเกรงว่าเสียงพูดจะละทิ้งเราไป  เพราะพวกเราต้องการความช่วยเหลือจากเขา  ผมอาจเป็นเพียงผู้ส่งข่าวแต่ผมห่วงคนทั้ง 2 ที่ต้องการคำตอบ เหนือสิ่งอื่นใดเพื่อแวมไพร์ตนนี้และเพื่อบัฟฟี่เอง  ผมต้องการให้ทั้ง 2 ได้พบความสงบเสียที  จากสิ่งที่ได้รับรู้ทั้งคู่สมควรได้รับมันมากกว่าใครๆ  ผมรู้ว่าทั้งคู่เห็นอะไรมามากมายในชีวิตหรือไม่มีชีวิตผมเห็นความทุกข์ในแววตาของพวกเขา..พวกเขาสมควรได้รับมันจริงๆสักที
          “เธอยอมทุกอย่างเพื่อหญิงสาวผู้นี้” ในที่สุดอำนาจเสียงพูดขึ้นโดยลดอารมณ์ลงบ้างแล้ว “เธอไม่ยอมรับชีวิตของตน บอกปัดการดำเนินชีวิตเพื่อหล่อน  เธอทำมากกว่าที่เราคาดคิดว่าจะมีมนุษย์หน้าไหนยอม”
          แองเจิลเดินตรงไปยังม่านพลังเรืองแสงแล้วก้มลงมองร่างของ บัฟฟี่  ซัมเมอร์
          “แต่สิ่งที่เจ้าไม่เคยเข้าใจเลยตั้งแต่เจ้ากลับมาจากนรก  เธอคือชีวิตของเจ้า…จิตใจของเจ้า  และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าต่อสู้เพื่อพวกเรา  เพื่อตัวเจ้าและเพื่อเธอ…ปราศจากเธอเจ้ายังคงสู้แต่ไม่ใช่ในพลังที่แท้จริงที่จะทำให้เจ้ารอดพ้นภัยพิบัติไปได้”
          “คิดเหรอว่าผมไม่รู้” เขาบอกเบาๆขณะไล้นิ้วตามม่านพลังโปร่งใส
          อำนาจเสียงไม่สนใจและยังคงพูดต่อ “บทเรียนที่เจ้าเรียนรู้จากการยืนยันที่จะเลือกหนทางแห่งความทุกข์ใจ” ในที่สุดอำนาจเสียงก็เผยความจริง “บทเรียนที่…ความตายของเธอเป็นอภินันทนาการของเธอแด่เจ้า”
          “อภินันทนาการแด่ผม? มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง…บอกผมทีสิ..ฮ่ะ! การตายของเธอเป็นอภินันทนาการได้ยังไง?” แองเจิลตะโกนออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
          “ของขวัญที่ทำให้เจ้ารู้ว่าเมื่อปราศจากเธอเจ้าไร้ชีวิต..มอบให้เพื่อให้รู้ว่าเมื่อปราศจากเธอเจ้ายืนหยัดต่อสู้อย่างไร้กำลัง…ไม่มีเธอเราได้แค่เพียงนักรบไร้ประสิทธิภาพที่หยัดยืนเพื่อพวกเรา…\'อำนาจทางการ\' ที่ต่อต้านเขาและความรักของเขา” อำนาจเสียงบอก “มอบให้เพื่อให้เจ้าเห็นทางสว่าง”
          ผมเห็นแองเจิลหันหาแหล่งที่มาของอำนาจเสียง  ผมกลัวเมื่อเห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและเหยียดหยาม “เหตุผลดี” เขาตะคอกดังขึ้นอีก “เหตุผลดีเยี่ยม! มองผมสิ! ผมฉลาดขึ้นมากเลย!” เขาเริ่มชกม่านพลังอย่างบ้าคลั่ง “บทเรียนของพวกท่านมันเสียเวลาเปล่า! เวลาที่เธอควรจะอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆของเธอ! เวลาที่ควรจะช่วยเยียวยารักษาแผลใจทุกคนที่เธอรักให้ผ่านพ้นความทุกข์ที่ท่าน..\'อำนาจทางการบ้าบอ\' ก่อขึ้น”
          “พอสักที” อำนาจเสียงตวาด
          “ทำไม..ฮ่า!” เขาขำอย่างไร้อารมณ์ “รับความจริงไม่ได้? เอาเธอกลับมา! เอาเธอกลับมาเดี๋ยวนี้”
          “เจ้านี่ยังไม่เรียนรู้บทเรียนอีกนะ,นักรบ  เจ้ายังคงมองไม่เห็นมัน” น้ำเสียงออกเย้ยหยัน “มันเป็นชะตาที่เจ้าต้องพบกับมือสังหาร  เพื่อปกป้องเธอดูแลเธอ…แต่เจ้าพลาด”
          หน้าแองเจิลแฝงด้วยความเจ็บปวด “ผมรู้ว่าผมพลาด ผมพลาดตลอดทั้งต่อพวกท่านและต่อเธอ”
          อำนาจเสียงถอนใจ “มันเป็นชะตาของเจ้ากับมือสังหาร..เจ้าต้องเป็นผู้ปกป้องเธอเช่นเดียวกับเป็นคนรักของเธอ  แต่เจ้าพลาดทั้ง 2 บทบาท  เจ้าเลือกทางที่ผิด  เราผิดหวังในตัวเจ้ามาก..นักรบ”
          “ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจให้ผมทุกข์ใจมากขึ้นโดยการพรากเธอไปงั้นสิ”
          “เราไม่ได้ฆ่าเธอ…มันเกิดจากสิ่งที่เจ้าเอาไป  เมื่อเจ้าเดินออกจากชีวิตเธอ…เธอตกอยู่ในอันตราย  เจ้าเติมเต็มเธอและเธอทำให้เจ้าสมบูรณ์…อยู่ด้วยกันเจ้าแข็งแกร่งแต่เมื่อใดพวกเจ้าแยกจากกันเจ้าจะพบหายนะ”
          “ผมต้องจากมา! ผมไม่อยากเสี่ยงชีวิตของเธอโดยปล่อยให้ปีศาจยึดครองร่างผมอีก” เขาตะโกน
          “ถ้าเจ้าเพียงอยู่เคียงข้างเธอไม่ปล่อยให้ตัวเองได้รับความสุขที่แท้จริงจากเธอ..เจ้าคงได้รับคาถาที่นางแม่มดเพื่อนมือสังหารค้นพบเพื่อยึดเหนี่ยววิญญาณเจ้าไว้ในร่างอย่างถาวรและขับไล่เจ้าปีศาจกลับลงนรกไป” น้ำเสียงของอำนาจเสียงเปลี่ยนไปเหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับเด็กน้อย
          แองเจิลยืนอึ้งอยู่นานก่อนจะค่อยๆทิ้งตัวลงกับพื้น  เมื่ออำนาจเสียงเผยความจริงผมรู้สึกสงสารเขาจับใจ…ไม่ใช่สงสารเพียงแค่เขา…เป็นปี…ทั้งแองเจิลและบัฟฟี่ควรจะได้อยู่ด้วยกันเป็นปีแล้ว
          “เจ้ายังคงย้ายมาอยู่ที่แอล.เอแต่พวกเจ้ายังคงคบหากันอย่างมีความสุข  อย่างไรก็ตามเรารู้ว่าความรักที่เจ้ามีให้แก่กันมีพลังมากเพียงใด…แต่ในเวลาเดียวกันเจ้าทั้ง 2 ยังต้องเรียนรู้และพิสูจน์ให้คนอื่นยอมรับความรักของเจ้าทั้งคู่ด้วย” อำนาจเสียงบอก “เราให้เวลาเจ้า…หวังว่าเจ้าจะสำนึกและกลับไปหาเธอ…วันที่ถูกลืม…ไรลีย์  ฟินน์...ดาร์ล่า…หรือแม้แต่ สไปค์”
          แองเจิลดูเจ็บปวดมาก  เขาโขกศีรษะลงบนม่านพลังโปร่งใส  สายตาของเขาไม่ละจากร่างบัฟฟี่  แล้วอำนาจเสียงก็ว่าต่อ
          “เราตบตาเจ้าเพื่อให้เจ้ากลับมาจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น…คาถาที่แม่มดค้นพบยังคงคอยอยู่..แต่เจ้าไม่เคยฉวยโอกาสที่เราเสนอให้เจ้า…เจ้าดื้อดึงจริงๆ,นักรบ”
          “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของผม” เขากระซิบน้ำตาไหลอาบแก้มของเขาร่วงหล่นสู่พื้นอันเยือกเย็นเบื้องล่าง
          “ไม่มีใครโทษเจ้า..เด็กเอ๋ย” อำนาจเสียงพูดอย่างอบอุ่น “เรามีบทบาทที่แตกต่างกันบนนี้…ส่วนหนึ่งขัดขวางเจ้า..อีกส่วนช่วยเจ้า  มันคือสิ่งที่เราทำที่นี่  แต่ยังไงก็ตามเจ้าทั้ง 2 มือสังหารและผีดูดเลือดถูกกำหนดให้คู่กันโดยพวกเราเอง” อำนาจเสียงหยุดไปชั่วขณะ “แต่ขณะนี้เราขอร้องเจ้า,นักรบ…เลือกสิ่งที่ถูกที่ควร…เพราะเราสัญญากับเจ้าเอาไว้และจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”
          แสงสว่างรอบๆร่างบัฟฟี่เริ่มจางไป  แองเจิลพยายามเอื้อมมือไปหาเธอ  หัวใจผมแทบสลายกับภาพตรงหน้า  ท่าทางของแวมไพร์ในชุดดำลังเลที่จะแตะต้องร่างในชุดขาว  ดังเช่นการเริ่มต้นการหลอมรวมความแตกต่างระหว่างความมืดกับความสว่าง…แต่เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความดีและบริสุทธิ์  และเหนือทุกสิ่งนั้นคือความรัก
          “ดูแลเธอด้วย,นักรบ  และจงจำไว้อยู่ด้วยกันเจ้าแข็งแกร่ง..เมื่อห่างกันเจ้าตาย” อำนาจเสียงบอกต่อแสคงความยินดีอย่างเห็นได้ชัด “ปัญหาของเจ้าตอนนี้คือทำอย่างไรให้นางกลับเข้าร่างและรวมทั้งสิ่งที่เจ้าต้องทำต่อจากนี้ไป  ขอให้โชคดีเด็กเอ๋ย..นักรบ และผู้ส่งสาสน์” แสงสว่างต่างๆในห้องจางหายไป
          แองเจิลค่อยๆอุ้มร่างไร้วิญญาณของบัฟฟี่ขึ้นมา…ผ้าไหมระบายลูกไม้รายล้อมด้วยริบบิ้นและผ้าบางใสที่เธอสวมใส่ร่วงลงมาล้อมรอบกายเธอดั่งปุยเมฆอันบอบบาง…ผมสีทองนุ่มสลวยของเธอยังมีผลึกใสติดอยู่ช่วยเพิ่มประกายระยิบระยับให้เส้นผมของเธอน่ามองยิ่งขึ้น
          แองเจิลก้มลงจูบหน้าผากของบัฟฟี่อย่างแผ่วเบา  ผมยิ้มอย่างเงียบๆและเดินตามพวกเขาออกไป  ผมมองกลับไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่แสงสว่างวาบจะปกคลุมทางเข้าอีกครั้ง…
      ********************
          ผมมองไปที่วิญญาณของบัฟฟี่ที่คอยอยู่  แองเจิลและผมกลับมาที่โรงแรมพบกับกลุ่มคนที่มีแต่ความสับสน  ซึ่งแองเจิลสัญญาว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหลังจากจัดการปัญหาร่างอันไร้วิญญาณของบัฟฟี่  และตอนนี้พวกเขาต่างยืนนิ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์
          แองเจิลคุกเข่าลงข้างร่างของบัฟฟี่ที่เอนพิงอยู่บนโซฟากลางห้องโถง  ผมยืนอยู่ถัดจากเขาส่วนบัฟฟี่จ้องเขม็งมองร่างไม่ไหวติงของเธอเอง
          “ฉันไม่ต้องการอย่างนี้” เธอพูดเอามือกอดอกแล้วค่อยๆขยับถอยห่างออกไป  สายตาของเธอบ่งบอกถึงความกังวลและสับสน
          “นี่คือภารกิจของคุณ” ผมบอกเธอเอามือล้วงกระเป๋าขณะมองหน้าเธอ…ผมรู้ผมต้องอดทน…นี่เป็นสิ่งใหม่ของของผมไม่มีแสงสว่างส่องทางเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ…เธอตายมา 3 ปีแล้ว..เธอหลง..เธอร่อนเร่  จนกระทั่งเธอมาพบผมเพื่อขอความช่วยเหลือ  และขณะนี้เธอกำลังจะได้ชีวิตกลับคืนมาและดำเนินชีวิตต่อไป  ผมรู้ว่ามันยากสำหรับเธอ…ผมเข้าใจว่าเป็นอย่างไร  นี่เป็นเรื่องน่ายินดีบางสิ่งที่ผมไม่เคยประสบพบเห็นหรือได้ยินมาก่อน…จิตวิญญาณจะได้รับชีวิตใหม่…ผมต้องอดทนเพื่อเธอ
          บัฟฟี่ส่ายหน้า “มันเป็นไปไม่ได้” เธอบอก “ฉันคิดว่าฉันจะได้พบทางสงบ” เธอถามผมมองหน้าผมอย่างมีความหวัง  มองหาคำตอบในแววตาของผมที่ผมรู้ว่าเธอหามันไม่พบ
          ผมยิ้ม “คุณจะพบทางสว่าง..ความสงบ..บนนั้นและมีคนเล่นฮาร์พให้คุณฟัง” ผมรับประกันและเธอยิ้มให้ผม “แต่ไม่ใช่ตอนนี้ภารกิจในความตายของคุณจบสิ้นและบรรลุผลแล้ว  ตอนนี้ภารกิจใหม่ของคุณคือมีชีวิตอยู่อย่างเต็มที่ต่อไป” ผมบอกเธอแสดงให้เธอเห็นแองเจิลของเธอที่มองหาเธออยู่
          เธอหันไปหาเขาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า  เธอหันกลับมาหาผมอีกครั้งก่อนจะก้มลงมองพื้น “ฉันเหนื่อยเหลือเกิน” เธอกระซิบอย่างเปิดใจ  และผมรู้สึกเจ็บแทนเธอในน้ำเสียงบ่งบอกความจริงของเธอ “ฉันไม่อยากสู้อีกต่อไปแล้ว”
          ผมเมินหน้าเช่นเดียวกับเธอ  เธอต่อสู้มาเกือบทั้งชีวิตของเธอหรือแม้แต่ในตอนนี้  เธอยังคงต่อสู้ในการตายของเธอ  จิตวิญญาณของเธอต่อสู้เพื่อค้นหาทางสงบที่เธอสมควรได้รับ  ผมรู้ว่าเธอเหนื่อย…ผมรู้ว่าเธอต้องการให้มันจบลงและได้รับความสงบอย่างที่เธอมองหาเสียที
          “ผมรู้ว่าคุณเหนื่อย” ผมบอกเธอ “และผมรู้ว่าคุณไม่อยากสู้อีกแล้ว”
          แองเจิลยืนขึ้นและจ้องมองมายังจุดที่บัฟฟี่ยืนอยู่  เราทั้งคู่ประหลาดใจในความจริงที่ว่าเขารู้ว่าเธออยู่ตรงไหน
          “ความเข้มแข็งคือการยืนหยัดต่อสู้” เขาบอกเสียงของเขาสั่นไปตามอารมณ์ “มันยากลำบาก…มันเจ็บปวดและมันเกิดขึ้นตลอดเวลา  และนั้นคือสิ่งที่เราต้องทำ…มันเป็นสิ่งที่เราสามารถทำ…” เขากลืนน้ำลายก่อนจะพูดคำสุดท้ายแล้วน้ำตาของเขาก็ไหลออกมา “ด้วยกัน”
          บัฟฟี่ยิ้ม..เป็นยิ้มที่สดใสอย่างที่เธอเคยมีในครั้งแรกที่ผมพบเธอ  เธอหายใจเข้าลึกๆเดินเข้าไปหาแองเจิลและเอามือแตะแก้มเขาอย่างรักใคร่
          เขาหลับตารับรู้สัมผัสนั้น  เมื่อเธอค่อยๆบรรจงจูบริมผีปากเขาอย่างแผ่วเบาทำให้เขาถึงกับสั่น  เธอผละออกช้าๆมองหน้าเขาอีกครั้งก่อนจะหายตัวไป
          ผมมองด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นร่างของบัฟฟี่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง  แองเจิลรีบวิ่งตรงเข้าไปที่ร่างนั้นและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน  ลูบผมสีทองของเธอปล่อยให้ผลึกใสร่วงหล่นลงสู่พื้น  ผมได้ยินเสียงอันขาดห่วงกระซิบข้างหูเธอ  เธอแหงนหน้าไปด้านหลัง ตาเบิกกว้างและสูดลมหายใจอย่างลนลาน  
          เธอส่งเสียงหวีดร้องอย่างบ้าคลั่ง  เธอเกาะแองเจิลแน่นจิกเล็บผ่านเสื้อหนังที่แองเจิลสวม  พวกเขายังคงกอดกันอย่างแนบแน่น  เสียงหวีดร้องกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ดวงตายังคงจ้องมองเพดานของโรงแรม
          “บัฟฟี่” แองเจิลเรียกเมื่อเขาหัมมามองหน้าเธอซึ่งเบิกตากว้างและน้ำตาของเธอไหลอาบแก้มและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
          เธอหายใจอย่างยากลำบากและผมรู้ว่าเธอกำลังเผชิญกับสถานการณ์ลำบากในการปรับตัวให้คุ้นเคยกับร่ายกายของเธออีกครั้ง   “เธอต้องการเวลา..แองเจิล” ผมบอกแวมไพร์ “เธอแค่ต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับความรู้สึกใหม่..มันคงเหมือนการเกิดใหม่,คิดว่านะ”
          เขาเพียงแค่พยักหน้าและยังคงกอดเธอน้ำตาของเขาไหลร่วงหล่นมาผสมปนกับน้ำตาของเธอ
          “แองเจิล” ในที่สุดเธอผละออกเพื่อมองดูหน้าของเขาก่อนจะกระซิบอย่างแผ่วเบา  น้ำตาทั้งคู่ไหลพรากออกมามากขึ้นเมื่อเธอประคองใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน
          “ผมอยู่นี่” เขาบอกเธอแล้วค่อยๆกุมมืออันบอบบางบนใบหน้าของเขา “ผมอยู่นี่แล้ว,ที่รัก  ผมอยู่นี่”
          เธอสวมกอดเขาดึงเขาเข้ามาแนบชิดเธอมากขึ้น  เธอซบหน้าอยู่ที่ซอกคอของเขา  แองเจิลขยับโยกร่างพวกเขาอย่างช้าๆปลอบประโลมเธอเหมือนทุกสิ่งรอบกายพวกเขาหยุดนิ่ง  และมีเพียงพวกเขาอยู่ในโลกส่วนตัวนั้น
          พนักงานของสำนักงานนักสืบตกอยู่ในความเงียบ  คอร์ดีเลียสะอื้นอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของเวสลีย์ที่ร้องไห้ออกมาเงียบๆ  กันน์เพียงแค่ยิ้มแต่ก็พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา   และเฟรดยืนมองด้วยความพิศวงงงงวยราวกับว่าเธอเป็นเด็กๆ
          เมื่อหันกลับมายังคู่รักคู่นี้…ผมเพียงได้แต่ยิ้ม
          ความผ่อนคลาย  ความสุขอันเปี่ยมล้น  ความรัก  ทั้งหมดนั้นแผ่ซ่านออกมาครอบคลุมรอบกายของคนทั้ง 2 ดั่งคลื่นพลังอันบริสุทธิ์  และรอยยิ้มของผมยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก
          ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับความสงบ…ไม่ใช่บนสวรรค์…แต่เป็นในอ้อมกอดของกันและกัน
      ********************
          มันเป็นเช้าธรรมดาๆเหมือนทุกวัน  ผมเดินลงมาทางอาหารเช้า  ในที่สุดพวกเราก็มีบ้านเป็นของตนเองไม่ต้องอยู่ในอพาร์ทเม้นท์อีก  ผมเสียใจที่ทิ้งบิลลี่เด็กที่ตายจากการระเบิดหัวตัวเองและแมร์รี่หญิงสาวในห้องครัวแต่ผมต้องไป  ผมบอกลาพวกเขาและพวกเขาบอกผมว่าเขาคงคิดถึงผม
          แม่ผมแต่งงานใหม่กับทอม  เขาเป็นผู้ชายที่เยี่ยมมาก  เขายอมรับสัมผัสที่ 6ของผม  และความแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือวิญญาณของผม  ก็มันเป็นงานของผม  ผมเป็นผู้ส่งสาสน์ที่ถูกเลือกโดยอำนาจทางการนี้นา
          “อรุณสวัสดิ์จ๊ะ ลูกรัก” แม่พูดขึ้นเมื่อผมนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
          ผมยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับผู้หญิงที่ยืนข้างต้นไม้ในห้อง  เธอโบกมือให้และก้มลงดมกลิ่นดอกไม้แรกแย้ม  เธอหันหลังเดินจากไปซึ่งมันเผยให้เห็นมีดที่มีเลือดติดกรังปักอยู่กลางหลังของเธอและยังคงมีเลือดไหลหยดออกมา  เธอหายไปเมื่อเธอเดินไปถึงห้องโถง
          “สวัสดีครับแม่” ผมทักแม่ “ทอมไปทำงานแล้วรึครับ”
          เธอพยักหน้าและยื่นกล่องพัสดุส่งให้ผม “มันส่งมาเมื่อวาน ลูกกำลังยุ่ง” เธอบอก..ผมรู้ว่าเธอหมายถึงผมยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือวิญญาณ เธอหันกลับไปที่เตาอบฮัมเพลงในลำคอและลงมือทำไข่กวนต่อ
          ผมก้มมองกล่องสี่เหลี่ยมที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล  กลางกล่องจ่าหน้าชื่อที่อยู่ด้วยลายมือคุ้นตา  ผมไม่สนใจเริ่มลงมือเเกะมันออก ข้างในมีตั๋วเครื่องบินไปแอล.เอ. 3 ใบ,ใบรับเสื้อทักซิโด้ของอาร์มานี่,หนังสือพิมพ์และกระดาษโน้ต
          ผมหยิบม้วนหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูเห็นรูปคนคุ้นหน้าตะคองกอดกันอย่างมือความสุขบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์  พาดหัวข่าวตัวโตว่า \'นักสืบหนุ่มเนื้อหอมตัดสินใจสละโสด\' ข้างใต้ภาพเขียนไว้ว่า \'แองเจิล โอ\'คอนเนอร์ หรือที่รู้จักในนามนักสืบจากสำนักงานนักสืบแองเจิล  ตกลงกำหนดวันวิวาห์ของเขากับคู่หมั้นที่หมั้นกันมานาน, สาวสวย บัฟฟี่ ซัมเมอร์\'
          ผมยิ้มเมื่อทราบข่าวดี  ผมยังคงติดต่อกับบัฟฟี่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
          สำนักงานนักสืบแองเจิลเติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่ผ่านมา  เพราะความมีชื่อเสียงในธุรกิจของพวกเขา และเช่นเดียวกับในหมู่สาวโสดทั้งหลายเพราะชายหนุ่มรูปงามเจ้าของบริษัทนั้นเอง  และด้วยเหตุนี้มันจึงกลายเป็นข่าวดัง
          เพื่อนๆและครอบครัวของบัฟฟี่รีบมาทันทีเมื่อทราบข่าวการคืนชีพของบัฟฟี่หลังจากที่ผมกลับไปแล้ว  พวกเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พรรคพวกจากซันนี่เดลฟัง  บัฟฟี่ตัดสินใจอยู่ที่แอล.เอ.เนื่องจาก เจนน่า มือสังหารคนใหม่ที่มาแทนบัฟฟี่ทำงานได้อย่างดีด้วยตัวของเธอเองกับผู้ดูแลของเธอและบางโอกาสก็ได้รับความช่วยเหลือจาก แก๊งสกู๊บบี้ เดิม
          ดอว์น,น้องสาวของบัฟฟี่ตัดสินใจอยู่กับพี่ของเธอที่อาศัยอยู่กับแองเจิลที่โรงแรม
          6 เดือนหลังจากนั้น  แองเจิลขอบัฟฟี่แต่งงานหลังจากที่วิลโลว์ก็ค้นพบเวทมนตร์ที่จะยึดเหนี่ยววิญญาณไว้กับร่างอย่างถาวร  บัฟฟี่โทรมาบอกข่าวดีนั้น  ผมยินดีกับเธอจริงๆ  พวกเขาไม่รีบแต่งงานกันทันที่อย่างที่ผมคิด  แต่แองเจิลรอคอยอะไรบางอย่าง แล้วอีก 2-3 เดือนต่อมาผมก็ได้รับข่าวอันน่าปลาบปลื้มจากบัฟฟี่และแองเจิลว่าตัวเขากลายเป็นมนุษย์แล้ว…ประหลาดใจมากไม่ใช่แค่เพียงบัฟฟี่…แต่มันเกิดกับทุกคน…ผมหยิบโน้ตขึ้นมาอ่าน

      หวัดดี, โคล

      เชื่อหรือไม่? แองเจิลกับฉัน..เรากำลังจะแต่งงาน! และฉันอยากให้เธอมาร่วมงานของเรา  อย่างที่รู้ฉันเตรียมตั๋วเครื่องบินสำหรับครอบครัวเธอไว้ให้แล้ว  ก็ฉันยังติดค้างเธอเรื่องตั๋วเครื่องบินมาแอล.เอ.ที่เธอต้องจ่ายเงินเองเพื่อมาช่วยฉัน..จำได้ไหม? แองเจิลอยากให้เธอมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว..เธอ,เวสลีย์,กันน์,แซนเดอร์ และสไปค์  ดอว์นจะเป็นเพื่อนเจ้าสาวของฉันเช่นเดียวกับ วิลโลว์,คอร์ดีย์,อันย่า และเฟรด ไจลส์ยังไม่ให้คำตอบฉัน แต่ยังไงก็ตามฉันไม่อยากเล่ารายละเอียดมากนักเดี๋ยวเธอจะเบื่อซะก่อน เอาเป็นว่าฉันแค่อยากให้เธอมามีส่วนร่วมกับเรา  จริงๆแล้วเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเราเหมือนกับคนอื่นๆ

      รักและคิดถึง,
      บัฟฟี่
      ปล. หวังว่าเธอจะมาได้นะ

          ผมยิ้มและพับโน้ตเก็บไว้  แล้วหันไปหาแม่ที่กำลังยุ่งอยู่กับการร้องเพลง \'มาย เกิร์ล\' ตามวิทยุ เธอจิบกาแฟไปร้องเพลงไปอย่างมีความสุข  แล้วผมก็ถามแม่ขึ้นมาว่า “แม่? พร้อมจะไปเที่ยวแอล.เอ.มั้ย”
      ********************
          ขณะนี้ผมยืนอยู่ในพิธี  เฝ้ามองบัฟฟี่และแองเจิลแลกเปลี่ยนคำสาบานกัน  ทั้งคู่ไม่ละสายตาออกจากกัน
          พวกเขาเป็นคู่รักที่รักกันมากจริงๆ  ให้ความสำคัญแก่กันและกันเป็นความรู้สึกที่แสดงออกมาอย่างเปี่ยมล้น
          อนาคตยังไม่ปรากฏชัดเจน  แต่พวกเขามีกันและกัน…และนั้นต่างหากที่สำคัญที่สุด
          ผมยิ้ม  ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับในสิ่งที่เขาควรได้รับ…สิ่งที่เขาถูกลิขิต…ให้มีกันและกัน
          ผมรู้สึกว่าดอว์นจ้องผม…ผมยิ้มให้เธอ  เธอส่งสายตาหวานเยิ้มให้ผม  ผมรู้สึกถึงความร้อนรุ่มก่อตัวภายในกายนั้นเองที่รู้ตัวว่าผมกำลังหน้าแดงก่ำ
          และในเวลานั้นเอง ผมคิด บางทีผมอาจมีชะตาชีวิตของตนเองกับอดีตกุญแจมิติก็เป็นได้…

      ********** จบบริบูรณ์ **********
      ปล. นี่คือเรื่องแรกที่เราแปลแต่เราไม่กล้าลงเพราะคงไม่ค่อยมีคนดูบัฟฟี่กับแองเจิลเท่าไรใน UBC

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×